6. การออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดให้ร่างกายสูบฉีดเลือด และลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น ทั้งยังช่วยควบคุมปริมาณฮอร์โมนความเครียด ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวกระจ่างใส และกระชับมากยิ่งขึ้น โดยความถี่ในการออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
7. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
เนื่องจากตัวฟิลเลอร์มีสาร Hyaluronic Acid ที่เป็นสารสังเคราะห์ตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในร่างกาย หลักการทำงานของฟิลเลอร์คือ เมื่อฉีดลงไปใต้ผิวหนัง เนื้อเยื่อบริเวณนั้นก็จะเต่งตึง มีน้ำมีนวลมากขึ้น จึงเหมาะมากสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตา, รอยย่นใต้ตา, ใต้ตาคล้ำ, เบ้าตาลึก รวมไปถึงมีรอยพับใต้ตา
8. ใช้เลเซอร์
การใช้เลเซอร์สามารถช่วยปรับผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น แถมยังช่วยลดเลือนริ้วรอยใต้ตาได้ ในกรณีที่ใต้ตามีร่องลึกมาก ๆ ควรใช้วิธีฉีดฟิลเลอร์มากกว่า เพราะเป็นสารเติมเต็มจึงสามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาได้ตรงจุดมากกว่า
9. ฉีกโบท็อกซ์
โดยปกติแล้วการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาจะใช้แก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ หรือริ้วรอยร่องตื้น หากฉีดโบท็อกซ์แท้ในปริมาณที่เหมาะสม และฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐานก็ไม่เป็นอันตราย แต่ข้อควรระวังในการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยคือถ้าฉีดมากเกินไปอาจทำให้ตาแข็งได้
10. นวดผ่อนคลาย
ถือเป็นการช่วยฟื้นบำรุงผิวบริเวณรอบดวงตา ช่วยให้เลือดสามารถไหลเวียนได้ดี แถมยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่น ช่วยลดการเกิดริ้วรอยใต้ตาที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยอาจนวดวนเบาๆ ที่ใต้ตา หรือนำผ้าที่มีความอุ่นเล็กน้อยมาประคบผิวบริเวณรอบดวงตา เรียกได้ว่าเป็นวิธีง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้
ริ้วรอยใต้ดวงตาถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายคนโดยสาเหตุหลักคืออายุที่เพิ่มมากขึ้น สามารถชะลอวัยให้ผิวใต้ตายังคงเรียบเนียน สุขภาพดี ได้ด้วยวิธีดังที่กล่าวในข้างต้น ทั้งวิธีง่าย ๆ ที่ดูแลได้ด้วยตัวเองหรือพึ่งพาหัตถการจากคลีนิกเสริมความงาม แต่การดูแลด้วยตัวเองจะให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย และความน่าพึงพอใจที่เราสามารถได้ดูแลตัวเองโดยไม่ต้องพึงพาหัตถการใด ๆ เพื่อให้บุคคลิกของเรายังคงดูดีตราบนานเท่านาน