หมดปัญหาผิวแห้งคันได้ง่าย ๆ ด้วย 9 เคล็ดลับจาก NIVEA

อาการผิวแห้งคัน อาการที่รู้สึกผิวตึงๆ มีการระคายเคือง คันยิบๆ ทำให้รบกวนการนอน หลายคนคิดว่าอาการ ผิวแห้งคันนี้จะเกิดเฉพาะหน้าหนาว แต่ที่จริงแล้วสามารถเกิดได้ทั้งปี เพราะหน้าร้อนผิวก็แห้งได้เหมือนกัน ถ้าดูแลไม่จริงจัง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ตอบโจทย์ ถ้าผิวจะแห้ง จะฤดูไหนก็แห้งอยู่ดี วันนี้พาไปดูพฤติกรรมที่ทำร้ายและทำลายผิว พร้อมแนะนำ 9 วิธีดูแลผิวและป้องกันผิวแห้งคันที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เพื่อทวงคืนผิวที่เนียนนุ่มและสุขภาพดีกลับคืนมา

ก่อนอื่นลองมาทำความเข้าใจกันก่อนซักนิด ว่าทำไมเราถึงมีผิวแห้งคันตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าฝนหรือหน้าหนาว ทั้งที่บางวันอากาศร้อนอบอ้าวผิวก็ยังแห้งคัน ลอกเป็นขุย ดูไม่เรียบเนียน หาสาเหตุเพื่อที่เราสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

ผิวแห้ง คืออะไร

ผิวแห้ง (Xerosis Cutis) คือ ภาวะที่เกราะป้องกันผิวชั้นนอกสุดอ่อนแอลง ทำให้ไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากส่วนประกอบสำคัญอย่างไขมันเซราไมด์ (Ceramides) และสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (NMFs) ทำงานผิดปกติไป ซึ่งส่งผลเสีย 2 ต่อคือ ผิวจะสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็วจนแห้งแตกเป็นขุย และในขณะเดียวกัน เมื่อเกราะป้องกันอ่อนแอลงก็จะเปิดทางให้สารระคายเคืองจากภายนอก (เช่น ฝุ่น, สารเคมี) แทรกซึมเข้าไปกระตุ้นปลายประสาทใต้ผิวหนังได้ง่ายขึ้น นี่จึงเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้ภาวะผิวแห้งมักมาพร้อมกับอาการ "คัน" เสมอ

โดยทั่วไปแล้วเราสามารถแบ่งสภาพผิวได้เป็น 4 ประเภทหลัก คือ ผิวมัน ผิวผสม ผิวธรรมดา และผิวแห้ง ซึ่งถูกกำหนดจากพันธุกรรมรวมถึงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างก็ทำให้สภาพผิวของเราต่างกันไปเช่นเดียวกัน แต่รู้หรือไม่ว่า สภาพผิวแห้งก็สามารถแบ่งออกได้อีก 3 ระดับด้วยกัน ลองมาสำรวจกันดูว่าสภาพผิวของเราที่ว่าแห้งนั้นอยู่ในระดับไหน เพื่อให้เราสามารถเลือกวิธีการรักษาผิวแห้งตามสภาพผิวแห้งของเราได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด

เช็กระดับผิวแห้งด้วยตัวเองแบบเบื้องต้น

1. ผิวแห้งคันน้อย ดูไม่ชุ่มชื้น

คนผิวแห้งคันระดับนี้จะมีความรู้สึกไม่สบายผิว สัมผัสผิวจะไม่เรียบเนียนและมีอาการคันยุบยิบระหว่างวัน ซึ่งเป็นสัญญาณของผิวแห้งคันที่ยังไม่รุนแรงมาก

2. ผิวแห้งคันปานกลาง

ถ้าสังเกตเห็นว่าผิวเริ่มแตกลาย ดูไม่มีความยืดหยุ่น ผิวแดงและสีผิวดูไม่สม่ำเสมอ รู้สึกตึงผิวเวลาอยู่ในที่อากาศเย็นและมีอาการคันอยู่บ่อยครั้ง รู้ได้เลยว่าเป็นสัญญาณผิวแห้งคันที่ควรได้รับการดูแลอย่างใส่ใจเป็นพิเศษ

3. ผิวแห้งคันแตกมาก

ปัญหาผิวแห้งแตกลายสามารถมองเห็นได้ทันที มีลักษณะเหมือนเกล็ดปลาอย่างชัดเจน ผิวลอกเป็นขุยและมีอาการแสบคันผิว บางคนอาจมีผื่นแดงขึ้นเป็นบริเวณกว้าง ผิวแห้งคันมาก แบบนี้ต้องรีบดูแลอย่างเร่งด่วนและควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อรับคำปรึกษาเพิ่มเติม

สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวแห้งและคัน เกิดจากอะไรได้บ้าง

ผิวแห้งคัน เกิดจากที่ผิวขาดความชุ่มชื้น น้ำมันเคลือบผิวน้อยและผิวขาดน้ำ ซึ่งคนที่มีปัญหาผิวแห้งคัน นอกจากปัจจัยภายในอย่างเรื่องของพันธุกรรม ฮอร์โมน อายุ และชั้นผิวที่อ่อนแอแล้ว ปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องของไลฟ์สไตล์ต่างๆ ก็เป็นสาเหตุสำคัญไม่แพ้กัน เพราะการใช้ชีวิตในแต่ละวันอาจส่งผลทำให้เกราะปกป้องผิวของเราไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ทำให้ผิวขาดสมดุล เสียความ ชุ่มชื้นได้ง่าย จนเกิดปัญหาผิวแห้งคันได้ ในที่สุด

1. การสครับผิวบ่อยจนเกินไป

ถึงแม้ว่าสครับหรือการขัดผิวจะช่วยให้เซลล์ที่ตายหลุดลอกออกไปได้ แต่ถ้าเรามีผิวแห้งธรรมดาหรือผิวแห้งมาก การสครับหรือขัดผิวคงไม่เหมาะเท่าไหร่นัก เพราะเป็นการรบกวนผิว ยิ่งขัดอาจทำให้ยิ่งระคายเคือง

2. อาบด้วยน้ำอุ่นจัด (จนร้อน) เป็นประจำ

จริงอยู่ว่าเวลาที่เราได้อาบน้ำอุ่น จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าอุณหภูมิร้อนเกินไปหรือใช้เวลาในการอาบนานเกินไป ก็อาจทำให้ผิวแห้งคันได้โดยไม่รู้ตัว ผ่อนคลายร่างกายแต่ได้ผิวแห้งคัน แทน ซึ่งตามหลักแล้วเราสามารถอาบด้วยน้ำอุ่นได้เพียงแต่ควรเลือกอุณหภูมิที่อุ่นกำลังดีไม่ร้อนจนเกินไปกลายเป็นทำลายผิวได้นั้นเอง

3. อาการของโรคผิวหนัง

อีกสาเหตุที่หลายคนมองข้าม อาการของโรคผิวหนังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการผิวแห้ง คัน ไปจนถึงผิวอักเสบได้ เช่น

• โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis/Eczema): เป็นสาเหตุของผิวแห้งคันเรื้อรังที่พบบ่อยที่สุด
• โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis): ทำให้เซลล์ผิวแบ่งตัวเร็วกว่าปกติ เกิดเป็นปื้นหนา แห้ง และคัน
• โรคประจำตัวอื่นๆ: ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism), โรคเบาหวาน, หรือโรคไต สามารถส่งผลให้ผิวแห้งผิดปกติได้

4. พักผ่อนไม่เพียงพอ

การพักผ่อนไม่เพียงพอ การพักผ่อนที่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดี ทำให้ผิวแห้งคันและดูไม่สดใส แต่งหน้าไม่ติดทน ไม่สดชื่น และยังดูโทรมอีกด้วย

5. กินอาหารรสชาติเค็มจัด

แม้ว่าอาหารรสชาติเค็มจะทำให้เรารู้สึกอร่อย แต่หากเรารับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อผิวหนังของเรา ซึ่งไม่ควรเกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชา จะทำให้เกิดอาการบวมน้ำและปัญหาผิวแห้งคันได้ เพราะโซเดียมจากอาหารที่เค็มจัด จะดูดซึมน้ำออกจากร่างกายเรานั่นเอง สังเกตง่ายๆ หากวันไหนที่กินอาหารเค็มมากๆ ตื่นมาตอนเช้าจะรู้สึกว่าหน้าบวม อ้วนขึ้น ทั้งที่น้ำหนักและสัดส่วนยังเท่าเดิม นี่แหละสัญญาณเตือนจากการรับประทานอาหารรสเค็ม

9 วิธีแก้ปัญหาผิวแห้งคัน ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

1. ปรับวิธีการอาบน้ำ

ใช้น้ำอุณหภูมิห้องหรือ "น้ำอุ่น" (ไม่ร้อนจัด) และจำกัดเวลาอาบน้ำไม่เกิน 5-10 นาที

2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน

มองหาผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า "Soap-free," "pH-balanced," หรือ "สำหรับผิวแพ้ง่าย" และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและแอลกอฮอล์

5. ใช้เครื่องทำความชื้น (Humidifier)

การเปิดเครื่องทำความชื้นในห้องนอนหรือห้องทำงาน จะช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำน้อยลง

6. ดื่มน้ำให้เพียงพอและทานอาหารบำรุงผิว

ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว และทานอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด และถั่วต่างๆ

7. เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่นุ่มสบาย

เลือกใช้ผ้าคอตตอน, ผ้าไหม, หรือผ้าใยไผ่ ที่ระบายอากาศได้ดีและไม่ระคายเคืองผิว

8. บรรเทาอาการคันเฉพาะหน้าด้วยการประคบเย็น

เมื่อรู้สึกคันมาก ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นหรือเจลเย็นประคบบริเวณที่มีอาการประมาณ 10-15 นาที จะช่วยลดอาการคันได้ดี

9. ไม่เกาเมื่อมีอาการ

การเกาจะยิ่งทำลายผิวและกระตุ้นให้คันมากขึ้น หากคันมากให้ใช้วิธีตบเบาๆ หรือประคบเย็นแทน สำหรับคนที่มีอาการเกาไม่หยุด ควรตรวจสอบว่ามีอาการสัญญาณเตือนควรไปพบแพทย์เหล่านี้หรือไม่

• อาการคันรุนแรงจนรบกวนการนอนหรือการใช้ชีวิตประจำวัน
• ผิวแห้งแตกจนมีเลือดออกหรือมีน้ำเหลืองซึม
• มีผื่นแดงอักเสบลุกลามเป็นวงกว้าง
• สงสัยว่าอาจเกิดการติดเชื้อ (ผิวบวมร้อน, มีตุ่มหนอง)
• อาการไม่ดีขึ้นเลยภายใน 2-3 สัปดาห์ แม้จะดูแลอย่างเต็มที่แล้ว