สาเหตุ วิธีรักษาสิวอักเสบ พร้อมเคล็ดลับดูแลผิวที่เป็นสิว

สาเหตุ วิธีรักษาสิวอักเสบ พร้อมเคล็ดลับดูแลผิวที่เป็นสิว

ปัญหาสิวอักเสบที่ขึ้นแทบจะทุกช่วงอายุ ทั้งเจ็บ ทั้งทิ้งรอย เป็นปัญหาผิวที่ส่งผลกระทบทั้งทางกายและจิตใจ ไม่เพียงแค่วัยรุ่นเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้ แม้แต่ผู้ใหญ่วัยทำงานก็ยังพบกับสิวอักเสบได้บ่อย โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น ส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น ทั้งปัญหามลพิษ PM 2.5 ที่เกาะติดบนผิวหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันและนำไปสู่การอักเสบได้ง่ายยิ่งขึ้น

สิวอักเสบคืออะไร?

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คือสิวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบ มีอาการบวมแดง เจ็บ และอาจมีหนองสะสมอยู่ภายใน สิวชนิดนี้มักเกิดเมื่อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) เข้าไปเพิ่มจำนวนในรูขุมขนที่อุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวตาย ร่างกายจะตอบสนองโดยการส่งเม็ดเลือดขาวไปกำจัดการติดเชื้อ ทำให้เกิดการอักเสบ ลักษณะที่สังเกตได้คือ จะมีสีแดง นูน เจ็บเมื่อสัมผัส และอาจมีจุดหนองสีขาวหรือสีเหลืองที่ยอดสิว

สิวอักเสบแตกต่างจากสิวธรรมดาตรงที่มีความรุนแรงมากกว่า และมีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำจากสิวได้สูง โดยเฉพาะเมื่อมีการบีบหรือแกะสิว ทำให้การอักเสบลุกลามและเกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อผิวหนังมากยิ่งขึ้น

สาเหตุของสิวอักเสบ

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบมีหลายประการ ซึ่งมักเกิดจากการรวมตัวของปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

  1. การผลิตน้ำมันมากเกินไป ต่อมไขมันในผิวหนังผลิตน้ำมันหรือซีบัม (Sebum) มากเกินไป โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่มีฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจนสูง ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น สภาพอากาศร้อนชื้นในประเทศไทยยิ่งกระตุ้นการหลั่งน้ำมันบนผิวหน้ามากขึ้น
  2. การอุดตันของรูขุมขน เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไม่หลุดลอกออกตามปกติ แต่กลับเกาะติดกับน้ำมันบนผิวหนัง ทำให้รูขุมขนอุดตัน กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
  3. การเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย เมื่อรูขุมขนอุดตัน แบคทีเรีย P. acnes จะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้อาศัยอยู่บนผิวหนังตามปกติ แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสม จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนก่อให้เกิดการอักเสบ
  4. การอักเสบ ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อโดยการส่งเม็ดเลือดขาวไปยังบริเวณที่มีแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และเจ็บ
  5. ปัจจัยภายนอก มลพิษ PM 2.5 ที่เกาะติดบนผิวหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันมากขึ้น รวมถึงการใช้เครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic) การทำความสะอาดผิวไม่เพียงพอ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
  6. ความเครียด ความเครียดเพิ่มการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น และยังลดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น
  7. อาหาร อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง อาหารจำพวกนม และอาหารที่มีไขมันสูง อาจกระตุ้นการเกิดสิวในบางคน โดยเฉพาะคนที่มีความไวต่อการตอบสนองอยู่แล้ว
  8. ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยรุ่น รอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะฮอร์โมนผิดปกติ สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบได้

ชนิดของสิวอักเสบ

ชนิดของสิวอักเสบ

สิวอักเสบสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะและความรุนแรง ดังนี้

  1. สิวอักเสบหัวแดง (Papules) เป็นสิวขนาดเล็ก นูนแดง ไม่มีหัวหนอง เกิดจากการอักเสบของผนังรูขุมขน ทำให้ผิวหนังรอบๆ บวมแดง และมักจะเจ็บเมื่อสัมผัส
  2. สิวอักเสบหัวหนอง (Pustules) คล้ายกับสิวหัวแดง แต่มีหนองสีขาวหรือสีเหลืองอยู่ตรงยอดสิว เกิดจากการที่ร่างกายส่งเม็ดเลือดขาวไปกำจัดแบคทีเรีย ทำให้เกิดการสะสมของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้ว (หนอง)
  3. สิวอักเสบหัวช้าง (Nodules) เป็นสิวขนาดใหญ่ แข็ง อยู่ลึกใต้ผิวหนัง มีอาการปวดมาก เกิดจากการอักเสบรุนแรงที่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อลึก ใช้เวลานานกว่าจะหาย และมีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นสูง
  4. สิวอักเสบหัวหนอง (Cysts) เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นถุงหนองอยู่ลึกใต้ผิวหนัง มีขนาดใหญ่ นุ่ม มีความเจ็บปวดมาก มักจะทิ้งรอยแผลเป็นเมื่อหาย แม้ไม่มีการบีบหรือแกะ
  5. สิวอักเสบหลายจุด (Acne Conglobata) เป็นสิวอักเสบรุนแรงที่เกิดจากการรวมตัวของสิวหลายจุด ทำให้เกิดการอักเสบเป็นบริเวณกว้าง มีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นสูงมาก มักพบในผู้ชายวัยหนุ่ม

สิวอักเสบขึ้นที่ไหนได้บ้าง?

สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายบริเวณของร่างกาย โดยมักพบในพื้นที่ที่มีต่อมไขมันหนาแน่น ได้แก่:

  1. ใบหน้า พบมากที่สุดบริเวณหน้าผาก จมูก แก้ม และคาง (T-Zone) เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก
  2. หลัง ต่อมไขมันบริเวณหลังมีขนาดใหญ่และหนาแน่น ทำให้เป็นอีกบริเวณที่พบสิวอักเสบได้บ่อย โดยเฉพาะในคนที่เหงื่อออกมากหรือใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศไม่ดี
  3. หน้าอก มีลักษณะคล้ายกับสิวที่หลัง มักพบในคนที่ออกกำลังกายแล้วไม่อาบน้ำทันที หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน
  4. ไหล่และต้นแขน เป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก อาจเกิดสิวอักเสบได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการเสียดสีจากเสื้อผ้าหรือกระเป๋าสะพาย
  5. หนังศีรษะ โดยเฉพาะคนที่มีผมมัน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่อุดตันรูขุมขน อาจเกิดสิวอักเสบที่หนังศีรษะได้
  6. สะโพกและต้นขา มักพบในคนที่สวมกางเกงรัดรูปเป็นเวลานาน หรือไม่อาบน้ำหลังออกกำลังกายทันที
  7. คอ บริเวณคอโดยเฉพาะใต้คาง มักเป็นที่สะสมของน้ำมันและเหงื่อ ทำให้เกิดสิวอักเสบได้

13 วิธีรักษาสิวอักเสบไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

การดูแลรักษาสิวอักเสบอย่างถูกวิธีจะช่วยลดความรุนแรงและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีการดูแลรักษาสิวอักเสบที่มีประสิทธิภาพ

1. ทำความสะอาดเครื่องสำอางให้หมดจด

การตกค้างของเครื่องสำอางเป็นสาเหตุสำคัญของการอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย การใช้คลีนซิ่ง หรือไมเซลล่า วอเตอร์ ที่ออกแบบมาสำหรับผิวที่เป็นสิวโดยเฉพาะสามารถช่วยบรรเทาสิวอักเสบได้ อย่าง นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ แคร์ ไมเซลล่า (NIVEA Derma Acne Care Micellar) ที่จะช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกได้อย่างล้ำลึก ด้วยอนุภาคไมเซลล่าขนาดเล็กที่สามารถดูดซับเครื่องสำอางและความมันส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำร้ายผิว ไม่มีแอลกอฮอล์ และไม่ทำให้ผิวแห้งตึง พร้อมเติมความชุ่มชื้นด้วยไฮยาลูรอน และช่วยปลอบประโลมผิวลดการอักเสบและรอยแดงจากสิว

นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ แคร์ ไมเซลล่า

2. ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับผิวเป็นสิว

การล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับผิวเป็นสิวโดยเฉพาะ ด้วย NIVEA Derma Acne Care Cleanser Gel to Foam (นีเวีย เดอร์ม่า แอคเน่ แคร์ เคลนเซอร์ เจล ทู โฟม) โฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยนสำหรับคนผิวเป็นสิวง่ายที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิก แอซิด ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดสิวอุดตัน ซีซอลต์บริสุทธิ์ ที่ช่วยจัดการแบคทีเรีย ต้นเหตุของการเกิดสิว และไนอาซินาไมด์ ที่ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และรอยแดงจากสิว โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงเกินไป เพราะผลิตภัณฑ์นี้ปราศจาก SLS, แอลกอฮอล์ และสารที่อาจทำร้ายผิว

3. ใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมลดการอักเสบ

การใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของสารลดการอักเสบ เช่น นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ เคลียร์ แอนด์ โพรเทค เซรั่ม (NIVEA Derma Acne Care Skin Clear & Protect Serum) เซรั่มลดสิวนีเวีย ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน โปร-วิตามินบี 5 และไนอาซินาไมด์ จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิว ลดการอักเสบของสิว และฟื้นบำรุงเกราะปกป้องผิว โดยไม่ทำให้เกิดการอุดตัน สูตรปราศจากน้ำมัน ไม่มีน้ำหอม เหมาะสำหรับผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย

นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ เคลียร์ แอนด์ โพรเทค เซรั่ม

4. ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเพื่อป้องกันการอุดตัน

การผลัดเซลล์ผิวเป็นประจำจะช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน ลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีกรดซาลิไซลิกและกรดไกลโคลิก เช่น NIVEA Derma Acne Care Night Exfoliator (นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ แคร์ ไนท์ เอ็กซ์โฟลิเอเตอร์) ที่มีส่วนผสมของ AHA/BHA 8% และไนอาซินาไมด์ ช่วยเสริมกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติในช่วงกลางคืน ทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น และลดรอยดำรอยแดงจากสิว

5. หลีกเลี่ยงการกดหรือบีบสิว

การบีบหรือกดสิวอักเสบอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น เพิ่มโอกาสการติดเชื้อ และอาจทิ้งรอยแผลเป็นถาวร หากจำเป็นต้องกดสิว ควรทำหลังอาบน้ำอุ่น (เพื่อให้รูขุมขนเปิด) และใช้เข็มกดสิวที่ฆ่าเชื้อแล้ว โดยกดเบาๆ รอบๆ สิว ไม่ใช้เล็บกด และทำความสะอาดบริเวณนั้นด้วยแอลกอฮอล์หลังกดสิว

หลีกเลี่ยงการกดหรือบีบสิว

6. ใช้ยาทาเฉพาะจุด

สำหรับสิวอักเสบที่เป็นเฉพาะจุด การใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบได้ โดยทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิว ไม่ทาทั้งหน้า เพื่อป้องกันการระคายเคือง

7. ใช้แผ่นแปะสิว

แผ่นแปะสิวที่มีส่วนผสมของไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid) สามารถดูดซับหนองและของเหลวจากสิวอักเสบได้ ช่วยลดขนาดและความแดงของสิว ป้องกันการปนเปื้อนของแบคทีเรียจากภายนอก และป้องกันไม่ให้มือไปแตะหรือแกะสิว

ใช้แผ่นแปะสิว

8. ยาปฏิชีวนะทาเฉพาะจุด

ในกรณีที่สิวอักเสบรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะทาเฉพาะที่ เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) หรือเอริโทรมัยซิน (Erythromycin) เพื่อลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและลดการอักเสบ ยาเหล่านี้ต้องได้รับการสั่งจากแพทย์เท่านั้น

9. พบแพทย์ผิวหนัง

หากสิวอักเสบรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยตนเอง ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจพิจารณาให้ยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาฮอร์โมน หรือยา Isotretinoin ในกรณีที่สิวรุนแรงมาก

พบแพทย์ผิวหนัง

10. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารแปรรูป นมและผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงอาหารทอดและอาหารมัน เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบในร่างกาย แทนที่ด้วยการรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

11. เปลี่ยนปลอกหมอนและทำความสะอาดเครื่องมือแต่งหน้า

ปลอกหมอนและเครื่องมือแต่งหน้า เช่น แปรง ฟองน้ำ เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย ควรเปลี่ยนปลอกหมอนสัปดาห์ละครั้ง และทำความสะอาดเครื่องมือแต่งหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

เปลี่ยนปลอกหมอนและทำความสะอาดเครื่องมือแต่งหน้า

12. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย รักษาความชุ่มชื้นให้ผิว และทำให้ผิวมีสุขภาพดี ลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบ

13. ลดความเครียด

ความเครียดเพิ่มการผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างน้ำมัน ทำให้เกิดสิว การฝึกสมาธิ โยคะ หรือการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย

ลดความเครียด

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับสิวอักเสบ

มีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับสิวอักเสบมากมายที่อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรืออาจทำให้อาการแย่ลง ต่อไปนี้คือความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อย

  1. การล้างหน้าบ่อยๆ จะช่วยลดสิว การล้างหน้ามากเกินไป (มากกว่า 2-3 ครั้งต่อวัน) อาจทำให้ผิวแห้ง กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น และทำให้สิวแย่ลง ควรล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยนเพียงวันละ 2 ครั้ง
  2. สิวเกิดจากความสกปรก แม้ว่าความสะอาดจะสำคัญ แต่สิวไม่ได้เกิดจากความสกปรกภายนอก แต่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากภายใน การเกิดสิวมีปัจจัยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน พันธุกรรมและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
  3. ช็อกโกแลตและอาหารมันทำให้เกิดสิว ไม่มีหลักฐานโดยตรงว่าช็อกโกแลตทำให้เกิดสิว แต่อาหารที่มีน้ำตาลสูงและดัชนีน้ำตาลสูงอาจกระตุ้นการอักเสบและการผลิตน้ำมัน แต่ละคนตอบสนองต่ออาหารไม่เหมือนกัน
  4. ทาครีมหรือน้ำมันจะทำให้สิวแย่ลง การไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เลยอาจทำให้ผิวแห้ง และกระตุ้นการผลิตน้ำมันมากขึ้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) และเหมาะกับสภาพผิว
  5. สิวเป็นปัญหาเฉพาะวัยรุ่น แม้สิวจะพบบ่อยในวัยรุ่นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่สิวสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย โดยเฉพาะผู้ใหญ่วัย 20-30 ปี หรือแม้แต่วัย 40-50 ปี ก็ยังสามารถเป็นสิวได้ เนื่องจากความเครียด ฮอร์โมน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม
  6. ทายาสีฟันบนสิวจะช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น แม้ยาสีฟันจะมีส่วนผสมของเมนทอลและสารต้านเชื้อบางชนิด แต่ก็มีความเป็นด่างสูงซึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคืองและแห้งเกินไป ทำให้สิวแย่ลงได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับการรักษาสิวโดยเฉพาะ
  7. เครื่องสำอางทำให้เกิดสิว ไม่ใช่เครื่องสำอางทุกชนิดที่ทำให้เกิดสิว แต่เป็นการใช้เครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน หรือการล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด การเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน และล้างออกอย่างหมดจดก่อนนอน จะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้
  8. สิวจะหายเองโดยไม่ต้องรักษา บางคนเชื่อว่าปล่อยให้สิวหายเองดีกว่า แต่สิวอักเสบที่รุนแรงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทิ้งรอยแผลเป็นถาวรได้ การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันปัญหาในระยะยาว

สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นและมีมลพิษสูง การเข้าใจถึงสาเหตุและชนิดของสิวอักเสบจะช่วยให้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ด้วยการดูแลผิวอย่างถูกวิธี ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับผิวเป็นสิวโดยเฉพาะ เช่น ชุดผลิตภัณฑ์ NIVEA Derma Acne Care ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการดูแลผิว ตั้งแต่การทำความสะอาดด้วยไมเซลล่าและเจลล้างหน้า การบำรุงด้วยเซรั่ม และการผลัดเซลล์ผิวด้วยเอ็กซ์โฟลิเอเตอร์ การรักษาสิวอักเสบที่ได้ผลดีที่สุดคือการผสมผสานการดูแลจากภายนอกด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ร่วมกับการดูแลสุขภาพจากภายใน ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ลดความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือสิวอักเสบรุนแรง ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบ

1. Q: สิวอักเสบแตกต่างจากสิวธรรมดาอย่างไร?

A: สิวอักเสบจะมีลักษณะบวมแดง เจ็บเมื่อสัมผัส และอาจมีหนอง เกิดจากการอักเสบที่มีแบคทีเรียเข้าไปเพิ่มจำนวนในรูขุมขนที่อุดตัน ในขณะที่สิวธรรมดา เช่น สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว จะไม่มีการอักเสบรุนแรงและไม่เจ็บเมื่อสัมผัส

2. Q: ควรทำอย่างไรเมื่อมีสิวอักเสบขึ้น?

A: ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยนที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิก แอซิด เช่น NIVEA Derma Acne Care Cleanser Gel to Foam จากนั้นใช้ยาทาเฉพาะจุดที่มีส่วนผสมของเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์หรือกรดซาลิไซลิก หลีกเลี่ยงการแตะหรือบีบสิว และอาจใช้แผ่นแปะสิวเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและช่วยดูดซับหนอง

3. Q: ทำไมสิวอักเสบจึงเป็นมากขึ้นในช่วงมีประจำเดือนหรือช่วงมีความเครียด?

A: ในช่วงมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ในขณะที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มขึ้น ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ส่วนความเครียดจะกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นและเพิ่มการอักเสบในร่างกาย ทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น

4. Q: ระยะเวลาที่สิวอักเสบจะหายเองตามธรรมชาติคือเท่าไร?

A: สิวอักเสบขนาดเล็กถึงปานกลางอาจใช้เวลา 3-7 วันในการหายเองตามธรรมชาติ แต่สิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้างหรือสิวหัวหนอง อาจใช้เวลา 2-3 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น และอาจทิ้งรอยแดงจากสิวหรือรอยดำที่ใช้เวลาหลายเดือนในการจางหาย การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของสิวอักเสบได้

เคล็ดลับที่น่าสนใจสำหรับคุณ