สาเหตุรอยดำจากสิว วิธีรักษารอยดำจากสิวให้หายขาด

ทำไมรอยสิวไม่หาย? รวม 8 วิธีลดรอยดำจากสิวให้หายขาด

ปัญหารอยสิว โดยเฉพาะ "รอยดำจากสิว" แม้สิวสิวอักเสบจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยสีน้ำตาลหรือดำที่ทิ้งไว้บนใบหน้าก็สร้างความกังวลใจและบั่นทอนความมั่นใจได้ไม่น้อย เพราะรอยดำจากสิวดูแลรักษายากและต้องใช้เวลานานมากกว่ารอยสิวอื่น ๆ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงต้นตอของรอยดำจากสิว ประเภทของรอย พร้อมแนะนำการรักษารอยดำจากสิวที่ครอบคลุมตั้งแต่การดูแลตัวเองไปจนถึงหัตถการทางการแพทย์ และวิธีป้องกันเพื่อผิวที่กระจ่างใส ไร้จุดด่างดำกวนใจ

ทำความเข้าใจ "รอยสิว" แต่ละประเภทให้ถูกต้อง

1.รอยดำจากสิว

รอยแดงจากสิว (Post – Inflammatory Hyperpigmentation) เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นจากการอักเสบและการระคายเคืองของผิวหนัง โดยการอักเสบนี้จะไปกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตเมลานินในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังผลิตเมลานินมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยดำได้ สำหรับรอยดำจากสิวสามารถแบ่งเป็นรอยได้หลายสี เช่น สีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทา การเกิดรอยดำเป็นการอักเสบในชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งการรักษารอยดำจากสิวจะใช้เวลานานและยากกว่ารอยแดง

2.รอยแดงจากสิว

รอยดำจากสิว (Post – Inflammatory Erythema) เป็นรอยที่มีทั้งสีแดง ชมพู รวมถึงสีม่วง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง เมื่อผิวหนังเกิดอาการอักเสบ ร่างกายจะพยายามฟื้นฟูตัวเอง โดยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณผิวหนังที่อักเสบเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้บริเวณที่เป็นสิวอักเสบเกิดการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง ส่งผลให้บริเวณที่อักเสบเป็นรอยแดง

3. รอยหลุมสิว

รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบ ซึ่งเป็นผลจากกระบวนการการรักษาแผลบริเวณที่เป็นสิว โดยร่างกายจะสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาเพื่อสมานแผล แต่บางครั้งไม่เพียงพอที่จะทำให้ผิวหนังกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม เพราะเกิดการบาดเจ็บในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป

รอยดำจากสิว เกิดจากสาเหตุอะไร

รอยจำจากสิวที่เกิดจากสิวอุดตัน เป็นการอุดตันบริเวณต่อมไขมันและเกิดภาวะการอักเสบ เมื่อการอักเสบรุนแรงขึ้นรวมไปถึงติดเชื้อแบคทีเรียจนสิวกลายเป็นตุ่มแดง (สิวอักเสบ) และตุ่มหนอง หากการอักเสบลุกลามมากขึ้นจะกลายเป็นไตแข็งบวม โดยการอักเสบนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของเมลาโนไซต์ (Melanocytes) ซึ่งมีทำหน้าที่ผลิตเมลานิน ทำให้เกิดการผลิตเมลานินมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยดำจากสิวได้ หากปล่อยไว้นานโดยไม่ทำการักษาอย่างถูกวิธีจะทำให้รอยดำจากสิวรักษาได้ยากขึ้น

8 วิธีรักษารอยสิว รอยดำจากสิวให้หายจริง

1. ใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยดำจากสิว (Topical Treatments)

เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ (Active Ingredients) ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ผลัดเซลล์ผิว และลดการอักเสบ

  • วิตามินซี (Vitamin C - L-Ascorbic Acid & Derivatives) สารต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ที่ใช้สร้างเมลานิน, กระตุ้นคอลลาเจน และปรับผิวให้กระจ่างใส
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ลดการอักเสบ, ยับยั้งไทโรซิเนส, และช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • อาร์บูติน (Arbutin) และสารสกัดจากชะเอมเทศ (Licorice Root Extract) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยยับยั้งไทโรซิเนส ลดการสร้างเม็ดสี
  • กรดโคจิก (Kojic Acid) อีกหนึ่งสารที่ช่วยยับยั้งการผลิตเมลานิน
  • เรตินอยด์ (Retinoids - เช่น Retinol, Adapalene, Tretinoin (Rx)) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เซลล์ผิวที่คล้ำเสียหลุดออกเร็วขึ้น และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ (ควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำและใช้ตอนกลางคืน ร่วมกับการทากันแดดสม่ำเสมอ)
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide - Vitamin B3) ช่วยลดการอักเสบ, ยับยั้งการขนส่งเม็ดสีไปยังเซลล์ผิว, เสริมเกราะป้องกันผิว และลดรอยแดงได้ด้วย อย่าง NIVEA Derma Acne Care Skin Clear & Protect Serum (นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ เคลียร์ แอนด์ โพรเทค เซรั่ม) ที่ผสานไฮยาลูรอน โปร-วิตามินบี 5 และไนอาซินาไมด์ ช่วยลดโอกาสเกิดสิว ลดเลือนรอยสิว เติมความชุ่มชื้น และฟื้นบำรุงเกราะปกป้องผิว ใช้เป็นประจำทุกวันหลังทำความสะอาดผิวและก่อนการทาครีมบำรุงผิว
นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ เคลียร์ แอนด์ โพรเทค เซรั่ม

2. ใช้น้ำมะนาวช่วยลดรอยดำสิว

การใช้น้ำมะนาวสดหรือผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆ (AHA จากธรรมชาติ) ทาผิวโดยตรง ไม่แนะนำ เนื่องจากมีความเป็นกรดสูง (pH ต่ำมาก) และอาจมีสาร Psoralen ที่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดอย่างรุนแรง (Phytophotodermatitis) ส่งผลให้ผิวไหม้ ระคายเคือง หรือรอยดำแย่ลงได้

หากสนใจ AHA จากธรรมชาติ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีการควบคุมความเข้มข้นและค่า pH ที่เหมาะสม มีการทดสอบความปลอดภัยแล้ว เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Glycolic Acid (จากอ้อย) หรือ Lactic Acid (จากนมเปรี้ยว) ในปริมาณที่พอเหมาะ

3. สครับหน้าลดจุดด่างดำสิว

การสครับหน้าช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก ช่วยจุดด่างดำให้ผิวมีความสม่ำเสมอกันมากขึ้น ควรเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิว ให้ความชุ่มชื้น และลดการระคายเคืองได้ เช่น น้ำตาลทรายแดงหรือโยเกิร์ต และควรสครับผิวอย่างอ่อนโยน ไม่เกิน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และหลีกเลี่ยงการสครับบริเวณที่สิวยังอักเสบอยู่

สครับหน้าลดจุดด่างดำสิว

4. การเลเซอร์ผิว

การเลเซอร์เป็นวิธีการดูแลรักษารอยดำจากสิว แพทย์จะใช้เครื่องมือเลเซอร์ยิงเข้าสู่ชั้นผิว เพื่อลดการอักเสบที่เป็นสาเหตุของรอยดำจากสิว และจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยแพทย์จะเลือกใช้เลเซอร์ที่จำเพาะต่อการดูดซับพลังงานของเม็ดสีเมลานิน ดังนี้

  • Q-switched Lasers (เช่น Nd:YAG, Ruby, Alexandrite): ปล่อยพลังงานสูงในระยะเวลาสั้นมาก ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอณูเล็กๆ แล้วร่างกายจะกำจัดออกไป
  • Picosecond Lasers (Pico Lasers): เทคโนโลยีใหม่กว่า Q-switched ปล่อยพลังงานในระยะเวลาที่สั้นกว่า (picosecond) ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ละเอียดกว่า ลดผลข้างเคียงเรื่องความร้อนต่อผิวโดยรอบ และอาจเห็นผลเร็วกว่าในบางกรณี
  • Fractional Lasers (Non-ablative): สร้างความร้อนเป็นจุดเล็กๆ ลงไปใต้ผิว กระตุ้นการสร้างผิวใหม่และผลัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีออกไป การรักษาด้วยเลเซอร์มักต้องทำหลายครั้ง มีค่าใช้จ่ายสูง และควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

5. การรักษาด้วยกรดผลัดเซลล์ผิวทางการแพทย์

การทำเคมีพีลลิง (Chemical Peeling) คือการใช้กรดผลัดเซลล์ผิวความเข้มข้นสูงที่ได้รับการควบคุมโดยแพทย์ เพื่อกำจัดชั้นผิวที่เสื่อมสภาพและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ วิธีนี้ช่วยลดรอยดำจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดความมันบนใบหน้า และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวซ้ำได้อีกด้วย แต่ควรทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ผิวแดง ระคายเคือง หรือเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำถ้าสัมผัสแสงแดดหลังทำทรีทเมนต์

การรักษาด้วยกรดผลัดเซลล์ผิวทางการแพทย์

6. การรักษาด้วยไมโครนีดลิง (Microneedling)

ไมโครนีดลิง (Microneedling) เป็นวิธีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยการใช้เข็มขนาดเล็กสร้างรูเล็กๆ บนผิวหนัง เพื่อกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติ ทำให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ วิธีนี้ได้ผลดีมากสำหรับรอยหลุมสิวและรอยดำ และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาได้อีกโดยการนำสารเข้มข้นพิเศษมาทาร่วม เช่น วิตามินซีเข้มข้น กรดไฮยาลูรอนิก หรือพลาสม่าที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวเรียบเนียน เนื้อสม่ำเสมอ และลดรอยสิวได้ชัดเจน

7. การใช้เครื่องสำอางช่วยอำพรางรอย

แม้วิธีนี้จะไม่ใช่การ "รักษา" ให้รอยดำจางลงโดยตรง แต่เป็นวิธีที่ช่วย "จัดการ" กับลักษณะที่มองเห็นของรอยดำได้อย่างทันท่วงที ช่วยเสริมความมั่นใจในระหว่างที่การรักษาที่กำลังดำเนินอยู่

  • Color Corrector: ใช้ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิว เช่น คอร์เรคเตอร์สีพีชหรือส้มอ่อนๆ (สำหรับผิวโทนอุ่น) หรือสีเหลือง (สำหรับผิวโทนเย็น) เพื่อช่วยกลบรอยคล้ำก่อนลงรองพื้น
  • Concealer & Foundation: เลือกคอนซีลเลอร์และรองพื้นที่ให้การปกปิดดี (medium to full coverage) และเป็นสูตร Non-Comedogenic (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) เพื่อไม่ให้เกิดสิวใหม่
  • Setting Powder: ใช้แป้งฝุ่นโปร่งแสงเซ็ตเครื่องสำอางให้ติดทนนาน
การใช้เครื่องสำอางช่วยอำพรางรอย

8. เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางด้วย ไมเซลล่า วอเตอร์

การใช้ไมเซลล่า วอเตอร์ เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าหลังแต่งหน้า เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันสิว เนื่องจากเทคโนโลยีไมเซลล์ช่วยดูดจับเครื่องสำอาง ครีมกันแดด และสิ่งสกปรกตกค้าง อันเป็นสาเหตุของการอุดตันรูขุมขนได้อย่างหมดจดและอ่อนโยน โดยไม่ทำลายเกราะป้องกันผิวหรือทำให้ผิวแห้งตึงเกินไป การทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกแต่ยังคงความอ่อนโยนนี้ ช่วยลดโอกาสการสะสมของสิ่งสกปรกในรูขุมขน จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบที่เกิดจากการแต่งหน้าได้เป็นอย่างดี

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำจากสิว

1 ไม่แคะ แกะ หรือบีบสิว

การบีบสิวหรือแกะสิว เป็นการไปกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดการอักเสบมากขึ้น และหากมือหรือใช้อุปกรณ์ไม่สะอาดอาจทำให้เพิ่มโอกาสในการอักเสบของสิวจนเป็นสาเหตุของการเกิดหลุมสิวและรอยดำจากสิวได้

2 เลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่แรงเกินไป

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฤทธิ์แรงหรือการขัดถูผิวที่อักเสบมากเกินไป จะกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดอาการอักเสบมากขึ้น และหลังจากสิวอักเสบหายแล้ว อาจเกิดเป็นหลุมสิวหรือรอยดำจากสิวได้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษารอยสิวหรือลดรอยสิวโดยเฉพาะ

3. ปกป้องผิวจากแสงแดด

การป้องกันผิวจากแสงแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากหรับใครที่มีปัญหารอยดำจากสิว เพื่อไม่ให้รอยสิวเก่ามีสีที่เข้มขึ้น และรอยสิวใหม่กลายเป็นรอยดำที่รักษายาก วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดดจัดหรืออยู่ในที่ร่ม

4. ไม่ควรปล่อยให้ผิวแห้ง

การปล่อยให้ผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำ ทำให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวอุดตันและรอยดำจากสิวได้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการต่อวัน 1.5-2 ลิตร และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวเพื่อป้องกันการเกิดรอยดำจากสิว

5. ดูแลผิวแบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยีตัดวงจรสิว จาก นีเวีย

วิธีป้องกันรอยดำจากสิวที่ดีที่สุดคือการป้องกันสิวตั้งแต่แรก โดยควบคุมความมันส่วนเกินซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดสิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมความมันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของสิวจะช่วยป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ แคร์ ที่ช่วยปิดสวิทช์วงจรสิวให้ผิวมูฟออนได้ด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ เริ่มด้วยไมเซล่าเช็ดสะอาดล้ำลึก ต่อด้วยโฟมล้างหน้าลดสิว และเซรั่มตัดวงจรสิวและรอยสิว จบด้วยโอเวอร์ไนท์มาสก์ในเวลากลางคืน ที่ผสานพลังของเกลือซีซอลต์บริสุทธิ์จัดการแบคทีเรียต้นเหตุสิว ซาลิไซลิค แอซิดผลัดเซลล์ผิว และไนอาซินาไมด์ลดการอักเสบ

ขั้นตอนตัดวงจรสิวในตอนเช้า

เริ่มจากการทำความสะอาดล้ำลึกด้วยไมเซล่าที่ดูดซับสิ่งสกปรกเหมือนแม่เหล็ก ตามด้วยโฟมล้างหน้าเจลที่เปลี่ยนเป็นโฟมเมื่อสัมผัสน้ำ ช่วยลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิวซ้ำ จากนั้นใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของสารลดการอักเสบและช่วยฟื้นฟูเกราะปกป้องผิว และทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป

ขั้นตอนตัดวงจรสิวในตอนเช้า

ขั้นตอนตัดวงจรสิวในตอนกลางคืน

ทำความสะอาดเครื่องสำอางด้วยไมเซล่าที่ดูดซับสิ่งสกปรกเหมือนแม่เหล็ก ตามด้วยโฟมล้างหน้าเจลที่เปลี่ยนเป็นโฟมเมื่อสัมผัสน้ำ ช่วยลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิวซ้ำ จากนั้นใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของสารลดการอักเสบและช่วยฟื้นฟูเกราะปกป้องผิว ปิดท้ายด้วยโอเวอร์ไนท์มาส์กที่ทำงานระหว่างคุณหลับ ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยดำรอยแดงจากสิว ใช้อย่างต่อเนื่อง 7 วันจะช่วยให้ผิวบูสต์ความใส และลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวใหม่

ขั้นตอนตัดวงจรสิวในตอนกลางคืน

การรักษารอยดำจากสิวขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคน สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติในการลดรอยดำจากสิวและการอักเสบของผิวโดยเฉพาะ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผิว อย่างนีเวีย ลูมินัส630 โพสต์ แอคเน่ มาร์ค เซรั่ม ซึ่งเป็นเซรั่มสูตรพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อผู้มีปัญหารอยดำจากสิวโดยเฉพาะ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหารอยดำจากสิว

1. Q: รอยดำจากสิวคืออะไร แตกต่างอย่างไร?

A: รอยดำ คือรอยสีน้ำตาลหรือดำจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปหลังสิวอักเสบ ส่วนรอยแดง คือรอยสีแดงหรือชมพูจากหลอดเลือดฝอยเสียหายหรือขยายตัว

2. Q: รอยดำจากสิวหายเองได้ไหม ใช้เวลานานเท่าไหร่?

A: รอยดำชั้นหนังกำพร้า (Epidermal PIH) อาจจางลงเองใน 6-12 เดือน แต่รอยดำชั้นหนังแท้ (Dermal PIH) อาจใช้เวลานานเป็นปีหรืออาจไม่จางลงสนิทหากไม่รักษา การรักษาที่ถูกวิธีช่วยให้จางเร็วขึ้น

3. Q: มีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำจากสิวซ้ำๆ ไหม?

A: ป้องกันโดยการรักษาสิวให้ถูกวิธีตั้งแต่เนิ่นๆ หลีกเลี่ยงการบีบแกะสิว ทาครีมกันแดดทุกวัน และใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน

4. Q: มะนาวช่วยลดรอยดำจากสิวได้จริงหรือ?

A: มะนาวมีกรดซิตริกและวิตามินซี แต่มีความเป็นกรดสูงมากและทำให้ผิวไวต่อแสงแดด (photosensitive) อาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวไหม้ หรือรอยดำแย่ลงได้ ไม่แนะนำให้ใช้โดยตรงบนผิว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินซีที่ผ่านการทดสอบและปลอดภัยกว่า

เคล็ดลับที่น่าสนใจสำหรับคุณ