กระมีกี่ชนิด ดูแลรักษาอย่างไรได้บ้าง

กระมีกี่ชนิด ดูแลรักษาอย่างไรได้บ้าง

กระ คือจุดสีน้ำตาลเล็กๆ ที่ขึ้นบริเวณใบหน้า ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น กรรมพันธุ์หรือแสงแดดที่เผชิญทุกวัน โดยที่ผิวไม่ได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ ชนิดของกระนั้น สามารถวัดจากระดับความรุนแรงและอาการ เรามักได้ยินคำว่า กระตื้น กระลึก กระแดดกันมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันการรักษากระเป็นนิยมเป็นอย่างมาก เพราะกระบนใบหน้ากลายเป็นจุดรบกวนสายตา ต้องแต่งหน้าปกปิด ทั้งยังดูมีอายุไม่อ่อนวัย โดยมีทั้งครีมรักษาและเลเซอร์ วันนี้มาทำรู้จักกระให้มากขึ้น เพื่อลดโอกาสในการเป็นพร้อมเผยผิวหน้ากระจ่างใสสมวัยกัน

กระ คืออะไร

กระ คือ กลุ่มของจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กที่เกิดจากการสะสมของ เม็ดสีเมลานิน (Melanin) ที่มากผิดปกติในเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุด โดยมีเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) เป็นผู้ผลิต โดย กระ หรือ จุดด่างดำสามารถ เกิดบนผิวหน้าหรือตามผิวกายในบริเวณลำคอ แขน ขา ซึ่งจะเป็นลักษณะจุดสีน้ำตาลอ่อนไปถึงน้ำตาลเข้ม เมื่อเป็นมากขึ้น อาจมีขนาดไหนดูผิวเผินคล้ายปาน

กระ คืออะไร

กระ เกิดจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร

กระ เกิดจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร

กระเกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินที่สร้างเซลล์เม็ดสีมากเกินไป บริเวณที่กระขึ้นมักอยู่ที่จมูก โหนกแก้ม หรือตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา ซึ่งตัวการที่คอยทำร้ายและทำลายผิวที่ก่อให้เกิดกระ มีดังนี้

1. แสงแดด
แสงแดดนั้นมีรังสี UVA และ UVB ที่คอยทำลายผิวให้คล้ำเสีย ทั้งยังกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินนั้นผลิตขึ้นมามากผิดปกติ ทำให้เกิดจุดด่างดำ หรือ จุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ จนกระจายไปทั่วบริเวณผิวหน้า

2. แสงจากมือถือ และจอคอมพิวเตอร์
อีกหนึ่งตัวการร้ายทำลายผิวหน้า คือแสง Blue Light ที่มาจากจอมือถือและจอคอมพิวเตอร์ มีโอกาสส่งผลกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินกระจายตัวไม่เท่ากัน ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ บนผิวได้

3. อารมณ์และความเครียด
ความเครียดสามารถก่อให้เกิดการผลิตฮอร์โมนที่ผิดปกติและแปรปรวนได้ เมื่อฮอร์โมนไม่สมดุลจึงทำให้เกิดเมลานินสะสมจนเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำได้

4. พันธุกรรม
คนที่มีกรรมพันธุ์ผิวคล้ำหรือมีคนในครอบครัวเป็นกระ ลูกหลาน หรือญาติ ๆ สามารถมีโอกาสเกิดกระบนผิวหนังได้มากกว่าคนทั่วไป

5. อายุ
เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ผิวจะเสื่อมสภาพ และผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้ความเสียหายที่สะสมจากแสงแดดปรากฏชัดขึ้นในรูปแบบของ "กระแดด"

6. ฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ระหว่างตั้งครรภ์ หรือการรับประทานยาคุมกำเนิด อาจทำให้เกิดกระได้

กระ คืออะไร

กระ มี 4 ชนิด คือ

1. กระตื้น

จุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก (1-2 มม.) มักพบบริเวณโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง หรือจมูก โดยสาเหตุที่เซลล์ทำงานผิดปกตินั้นส่วนใหญ่มาจากพันธุกรรม บางคนเป็นกระตั้งแต่อายุน้อย เพราะเซลเม็ดสีมีความไวต่อแสง หากไม่ป้องกันให้เต็มที่ กระจะมีสีเข้มขึ้น จำนวนเพิ่มขึ้น และขนาดใหญ่ขึ้นอีกด้วย

กระตื้นเกิดจาก: ส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรม และจะสีเข้มขึ้นเมื่อโดนแดด แต่ก็สามารถจางลงได้ในช่วงฤดูหนาวหรือเมื่อหลีกเลี่ยงแสงแดด

การรักษา: สามารถรักษาได้ด้วย เซรั่ม ครีม ที่เหมาะสำหรับรักษาฝ้า กระ

2. กระลึก

จุดเล็ก ๆ หรือแผ่นสีน้ำตาลไปจนถึงสีเทาดำ มองเผินๆ คล้ายปานหรือฝ้า มักพบบริเวณขมับ ดั้งจมูกและโหนกแก้ม

กระลึกเกิดจาก: เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีในชั้นหนังแท้ ซึ่งพบตั้งแต่แรกเกิดและจะถูกกระตุ้นโดยรังสี UV จากแสงแดด นอกจากนี้เรื่องของฮอร์โมนก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นหรือในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ กระลึกนั้นอาจยิ่งมีสีเข้มชัดขึ้นได้

การรักษา: ต้องใช้เลเซอร์ที่มีความจำเพาะเจาะจงกับเม็ดสีในชั้นผิวลึก ต้องทำการรักษาหลายครั้ง

3. กระเนื้อ

ตุ่มเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม มักพบในบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าคอ หน้าอกและหลัง ตุ่มเล็กๆ นั้นมีโอกาสจะขยายใหญ่ขึ้นและมีสีเข้มขึ้นได้

กระเนื้อเกิดจาก: ผิวหนังชั้นกำพร้าเจริญมากขึ้นผิดปกติ โดยแสงแดดและอายุที่มากขึ้น คือตัวกระตุ้นให้กระเนื้อมีขนาดใหญ่และจำนวนมากขึ้นนั่นเอง

การรักษา: ต้องรักษาด้วยการจี้ด้วยไฟฟ้า หรือ ไนโตรเจนเหลว รวมถึงการใช้เลเซอร์

4. กระแดด

จุดหรือปื้นเรียบ ๆ สีน้ำตาลหรือสีดำ มีขอบชัดกว่ากระอื่นๆ มักพบในบริเวณที่โดนแดดบ่อยๆ เช่น บริเวณใบหน้า อาจจะเป็นโหนกแก้มที่รับแสงแดดกว่าจุดอื่น หรือ แขน ขา ที่ไม่ได้รับการทาครีมปกป้องแดด ส่วนใหญ่จะเป็นกับผู้ที่มีผิวขาวและอายุมาก

กระแดด เกิดจาก: การสะสมความเสียหายของผิวจากแสงแดดเป็นระยะเวลานาน

การรักษา: สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ ครีม เซรั่มที่เหมาะสำหรับการรักษา ฝ้า กระ โดยเฉพาะ หรือ ใช้เลเซอร์ในการรักษา

3 วิธีดูแลรักษากระให้ได้ผล

3 วิธีดูแลรักษากระให้ได้ผล

1. การใช้เลเซอร์รักษาเฉพาะที่เม็ดสี

การใช้เลเซอร์รักษาเฉพาะที่เม็ดสีนั้นช่วยทำลายเม็ดสีเมลานินได้โดยเฉพาะ ทำให้เม็ดสีแตกกระจายออก ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวกลับมาเก็บกินเม็ดสีที่แตกและสลายไป ผลลัพธ์ที่ได้คือสีของกระแลดูจางลง มักใช้รักษากระตื้น กระลึก และกระแดด ซึ่งการรักษากระโดยการทำหัตถการเลเซอร์มักต้องทำหลาย ๆ ครั้ง จึงจะเห็นผล ส่งผลให้ผิวบาง มีอาการแสบ หรือแดงได้ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงอีกด้วย

2. การใช้เลเซอร์ดึงเม็ดสีออกจากผิวหนัง

การใช้เลเซอร์ดึงเม็ดสีออกจากผิวหนังจะช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียนกระจ่างใส โดยดึงเอาเม็ดสีใต้ผิวหนังออกไปพร้อมยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ไม่ให้เม็ดสีกลับมาเข้มขึ้นอีก นิยมใช้รักษากระลึกและกระตื้น ซึ่งไม่สามารถหายขาดได้จากการทำหัตถการเลเซอร์เพียงครั้งเดียว

ตัวอย่างเครื่องเลเซอร์ที่นิยมใช้ในการรักษากระ

  • Picosecond Laser (Pico Laser): เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน สามารถปล่อยพลังงานสูงในระยะเวลาที่สั้นมาก (ระดับหนึ่งในล้านล้านวินาที) ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ละเอียดมากและใช้พลังงานความร้อนน้อยลง จึงเกิดผลข้างเคียงน้อย เหมาะกับ กระตื้น, กระลึก และกระแดด
  • Q-Switched Nd:YAG Laser: ถือเป็นเลเซอร์มาตรฐาน (Gold Standard) ที่ใช้ในการรักษากระมาอย่างยาวนาน มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเม็ดสี เหมาะสำหรับ กระตื้น และกระลึก
  • Fractional CO2 Laser: เป็นเลเซอร์คนละกลุ่มที่ใช้หลักการกรอผิวทีละส่วน เหมาะสำหรับการกำจัดติ่งเนื้อหรือตุ่มนูนโดยเฉพาะ จึงเป็นตัวเลือกหลักในการรักษา กระเนื้อ
  • IPL (Intense Pulsed Light): แม้จะไม่ใช่เลเซอร์ แต่เป็นเทคโนโลยีแสงความเข้มข้นสูงที่ช่วยลดเลือนเม็ดสีในผิวชั้นตื้นได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มี กระตื้น หรือกระแดด ไม่เข้มมาก และยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวมให้ดูกระจ่างใสขึ้น

3. ใช้สกินแคร์ลดปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ

วิธีนี้คล้าย ๆ กับการทำทรีตเมนต์หน้าที่คลินิก แต่เป็นการผลักครีมบำรุงหน้าเข้าผิวหน้าในทุก ๆ วัน สามารถทาเป็นประจำเพื่อบำรุงผิวและป้องกันการเกิดใหม่ได้เป็นอย่างดี และไม่ทำลายผิวให้บาง หรือมีอาการแสบ แดง เราขอแนะนำ ทรีตเมนต์เซรั่มเข้มข้นสำหรับลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ นีเวีย ลูมินัส630 แอดวานซ์ ดาร์ค สปอต เซรั่ม (NIVEA Luminous 630 Advanced Dark Spot Serum) ทรีตเมนต์เซรั่มเข้มข้น ที่มีสารสำคัญในการจัดการปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ อย่าง

  • ไทอามิดอล (Thiamidol) สารไบรท์เทนนิ่งที่ทรงพลังที่สุดจากนีเวีย
  • ไฮยาลูรอนิก แอซิด ช่วยในการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว เพื่อให้ผิวดูสุขภาพดี กระจ่างใส

จุดเด่นของ นีเวีย ลูมินัส 630 แอดวานซ์ ดาร์ค สปอต เซรั่ม ที่ช่วยลดเลือนฝ้าแดด กระแดด และจุดด่างดำที่ฝังลึกสะสมนานับ 10 ปี ช่วยลดเลือนฝ้าได้ถึง 82% สามารถจัดการได้ทั้งจุดดำที่มองเห็น และจุดดำที่ฝังลึกอยู่ใต้ชั้นผิวได้ถึงต้นตอ หากไม่รีบจัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจกลายเป็นจุดดำฝังลึกบนชั้นผิวได้ โดยครีมทาฝ้านีเวียไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเหมือนครีมลอกฝ้า หรือครีมทาฝ้าตัวอื่น ๆ อีกทั้งยังจัดการปัญหากระแดดได้ลึกถึงต้นตอ ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส อิ่มฟู นุ่มเด้ง ชุ่มชื้นถึงขีดสุดด้วยไฮยาลูรอนิกเข้มข้นถึง 2 เท่า เห็นผลจริงใน 2 สัปดาห์

นีเวีย ลูมินัส 630 แอดวานซ์ ดาร์ค สปอต เซรั่ม

ป้องกันผิวไม่ให้เป็นกระอย่างไรดี

ปัญหาหลักของคนเป็นฝ้า กระ คือเจอแสงแดดและไม่มีการป้องกันที่ถูกต้อง เมื่อรักษาฝ้า กระแล้วเราควรใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันการใช้ในอนาคตด้วย

  • ทาครีมกันแดดทุกวัน: ไม่ว่าจะอยู่ในที่ร่มหรือกลางแจ้ง ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 และ PA+++ ขึ้นไป และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งนานๆ ขอแนะนำ นีเวีย ลูมินัส630 เดลี่ มอยส์เจอไรเซอร์ ไลท์ ครีม SPF50 PA+++ (NIVEA Luminous630 Daily Moisturizer Light Cream SPF50 PA+++) ครีมกันแดดที่ช่วยลดเลือน พร้อมทั้งยังลดการเกิดซ้ำของ ฝ้าแดด กระ และจุดด่างดำ
    • มีสารไทอามิดอล (Thiamidol) ที่ช่วยลดเลือนฝ้าแดดและจุดด่างดำฝังลึกได้จากต้นตอ
    • SPF50 PA+++ ช่วยปกป้อง รังสี UVA/UVB ลดการเกิดซ้ำของฝ้าแดดและจุดด่างดำ
    • คุมมันตลอดวันด้วยสูตร OIL CONTROL ซึมซาบเร็ว เกลี่ยง่าย ไม่เหนอะหนะ
  • หลีกเลี่ยงแดดจัด: พยายามเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-16.00 น.
  • สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน: ใช้หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด หรือเสื้อแขนยาวเพื่อช่วยปกป้องผิวอีกชั้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามินซีและอี เพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงจากภายใน
นีเวีย ลูมินัส630 เดลี่ มอยส์เจอไรเซอร์  ไลท์ ครีม SPF50 PA+++

สรุป

“กระ” นั้นมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยมาจากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น แสงแดด อายุ ฮอร์โมน และพฤติกรรมต่าง ๆ เราจึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดทุกวัน โดยกระถือเป็นปัญหาผิวหน้าที่กวนใจและสร้างความกังวลไม่น้อย เพราะมีโอกาสเป็นหนักและขนาดใหญ่ขึ้น หลายคนใช้เมคอัพปกปิดก็ยังมองเห็น หากเป็นไปได้ควรดูแลตั้งแต่ต้นจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระ

1. Q: กระ แตกต่างจาก ฝ้า อย่างไร?

A: กระและฝ้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของรูปร่างและขนาด ฝ้าจะปรากฏเป็นปื้นสีเข้มขนาดใหญ่บนผิวหนัง โดยมีรูปทรงไม่แน่นอนและขอบเขตที่ไม่ชัดเจน ทำให้ดูคล้ายกับรอยด่างบนผิว ในทางตรงกันข้าม กระจะมีลักษณะเป็นจุดกลมเล็กๆ ที่มีขอบเขตชัดเจน

2. Q: วิธีป้องกันการเกิดกระทำได้อย่างไร?

A: การป้องกันการเกิดกระทำได้โดยการปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งควรทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงเป็นประจำทุกวัน หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดในช่วงเวลา 10:00-16:00 น. สวมเสื้อผ้าที่ปกป้องผิวจากแสงแดด เช่น หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด และรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยบำรุงผิวจากภายใน

3. Q: กระ สามารถหายไปเองได้หรือไม่?

A: กระ ไม่สามารถหายไปได้เองตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เราสามารถชะลอการเพิ่มจำนวนและความเข้มของกระได้ด้วยการดูแลผิวอย่างเหมาะสม การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและการป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเข้มของกระได้

4. Q: กระเนื้อและมะเร็งผิวหนัง ต่างกันอย่างไร?

A: กระเนื้อมักปรากฏเป็นกลุ่มจุดเล็กๆ หลายจุด มักเป็นสีดำหรือน้ำตาลอ่อน และไม่มีอาการเจ็บ ในขณะที่มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมามักเป็นตุ่มเดี่ยวขนาดใหญ่ (อาจใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร) สีไม่สม่ำเสมอหรือมีหลายสีในตุ่มเดียว และอาจมีเลือดออก อย่างไรก็ตาม หากพบการเปลี่ยนแปลงผิดปกติของผิวหนัง เช่น จำนวนกระเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือมีตุ่มที่มีลักษณะน่าสงสัย ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม

5. Q: การใช้มะนาวหรือน้ำมะนาวทาหน้าช่วยลดกระได้จริงหรือไม่?

A: แม้ว่ามะนาวจะมีวิตามินซีและกรดที่อาจช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่การใช้โดยตรงบนผิวหน้ายังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่ามีประสิทธิภาพในการรักษากระ นอกจากนี้ ความเป็นกรดของมะนาวอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง แสบ คัน หรือแม้แต่การอักเสบของผิวหนังได้ โดยเฉพาะในคนที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย แทนที่จะใช้วิธีนี้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ถูกออกแบบมาสำหรับผิวหน้าโดยเฉพาะ ซึ่งปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า

เคล็ดลับที่น่าสนใจสำหรับคุณ