วิธีลดรอยแผลเป็นจากสิว

12 วิธีลดรอยแผลเป็นจากสิว ให้ผิวหน้ากลับมาเนียนใสก่อนสายเกินแก้

รอยแผลเป็นจากสิวหรือรอยหลุมสิว มักเกิดจากการกด บีบ หรือแกะสิวบนใบหน้า จนทำให้เซลล์เนื้อเยื่อถูกทำลายและทำให้ผิวหนังอักเสบอีกด้วย ซึ่งผลที่ตาม คือรอยแผลเป็นจากสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ซึ่งสร้างความไม่มั่นใจให้กับใครหลาย ๆ คนเป็นอย่างมาก โดยบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว สาเหตุ และวิธีการรักษาแผลเป็นจากสิว เพื่อฟื้นฟูผิวให้ดูดีขึ้นและเรียกความมั่นใจกลับคืนมา

รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร?

รอยแผลเป็นจากสิว คือร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหายแล้ว โดยเฉพาะจากสิวอักเสบรุนแรง เมื่อสิวอักเสบลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังแท้ ร่างกายจะพยายามซ่อมแซมบาดแผลด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ แต่กระบวนการนี้อาจไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดรอยแผลเป็นในรูปแบบต่างๆ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวคือการอักเสบรุนแรงของสิว การแกะหรือบีบสิวที่ไม่ถูกวิธี ปัจจัยทางพันธุกรรม และการปล่อยให้สิวอักเสบโดยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ความรุนแรงของรอยแผลเป็นจากสิวขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ ระดับความลึกของการอักเสบ และการตอบสนองในการสร้างคอลลาเจนของแต่ละบุคคล บางคนอาจเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้ง่ายกว่าคนอื่นแม้จะเป็นสิวเพียงเล็กน้อย การเข้าใจประเภทของรอยแผลเป็นจากสิวจะช่วยให้เลือกวิธีรักษาได้อย่างเหมาะสม

ชนิดของรอยสิว รอยแผลเป็นจากสิว

ชนิดของรอยสิว รอยแผลเป็นจากสิว

1. รอยแดงจากสิว

รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema - PIE) มีลักษณะเป็นจุดสีแดงหรือชมพู ส่วนใหญ่จะเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของผิวหนังที่เกิดจากสิว อาจเกิดจากการอุดตันในรูขุมขน การอุดตันของน้ำมันหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดรอยแดงที่มักจะจางลงเมื่อเวลาผ่านไป

2. รอยดำจากสิว

รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH) จากสิวเกิดขึ้นจากการอักเสบที่ชั้นใต้ผิวหนัง ส่งผลให้มีการผลิตเมลานินส่วนเกินเป็นจำนวนมาก และรอยดำจากสิวจะยิ่งมีสีเข้ม ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการอักเสบ หากยิ่งอักเสบมาก รอยดำจากสิวก็ยิ่งเข้มและหายช้า

3. รอยหลุมสิว

รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) เกิดจากรอยแผลที่เกิดขึ้นบนผิวหนังหลังจากสิวหายไป โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากสิวชนิดที่มีการทำลายเนื้อเยื่อด้านในของผิวหนังหรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดหลุมที่มองเห็นได้บนผิวหนังหลังจากสิวหาย

  • Ice Pick Scars (หลุมไอซ์พิก หรือ หลุมจิกลึก): ลักษณะเป็นหลุมแคบๆ ปากหลุมเล็กแต่ลึกเหมือนโดนน้ำแข็งแทงทะลุผิวหนัง มักเกิดจากสิวอักเสบหัวใหญ่ที่ทำลายลึกถึงชั้นหนังแท้ รักษายากที่สุดในกลุ่มหลุมสิว
  • Boxcar Scars (หลุมบ็อกซ์คาร์ หรือ หลุมกล่อง): ลักษณะเป็นหลุมกว้าง มีขอบเขตชัดเจน คล้ายกล่องหรือบ่อ อาจตื้นหรือลึกก็ได้ เกิดจากการอักเสบที่ทำลายคอลลาเจนเป็นวงกว้าง
  • Rolling Scars (หลุมโรลลิ่ง หรือ หลุมแอ่งคลื่น): ลักษณะเป็นหลุมกว้าง ขอบมน ไม่ชัดเจน ทำให้ผิวดูเป็นลูกคลื่นหรือผิวส้ม เกิดจากพังผืดดึงรั้งผิวหนังชั้นบนให้ยุบตัวลง

4. รอยแผลเป็นนูนจากสิว

เมื่อเกิดสิวอักเสบ มักจะเกิดรอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic Scars and Keloids) โดยผิวหนังมักจะผลิตเนื้อเยื่อขึ้นภายในบาดแผลมากเกินไปในบริเวณที่เกิดสิวอักเสบ โดยจะมีลักษณะเป็นนูน ๆ สูงกว่าผิวหนังรอบบริเวณรอบ ๆ รอยแผลเป็นนี้สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัด อาการบาดเจ็บ แผลไหม้ หรือแม้แต่สิวอักเสบ

  • Hypertrophic Scars (รอยแผลเป็นนูน): แผลเป็นจะนูนขึ้นมาจากผิวปกติ แต่ขอบเขตของแผลเป็นจะไม่ขยายเกินจากรอยแผลเดิม อาจมีสีแดงหรือชมพูในช่วงแรก และอาจยุบลงได้เองบ้างตามเวลา
  • Keloid Scars (แผลเป็นคีลอยด์): แผลเป็นจะนูน แข็ง และมักมีขนาดใหญ่กว่ารอยแผลเดิมอย่างชัดเจน สามารถขยายตัวออกไปบริเวณผิวหนังปกติรอบๆ ได้ มักมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษาได้ง่ายกว่า

12 วิธีการรักษารอยแผลเป็นจากสิว

1. มาสก์หน้าด้วยสมุนไพรธรรมชาติ

การใช้สมุนไพรธรรมชาติในการมาส์กหน้าเป็นวิธีที่ดีในการลดอาการอักเสบและดูแลผิวที่มีรอยแผลเป็นจากสิวได้ เพราะสมุนไพรธรรมชาติมีสารสกัดที่อาจช่วยลดอาการผิวที่อักเสบและมีส่วนผสมต่าง ๆ ที่สามารถช่วยให้ผิวดูสดใส แลดูอ่อนเยาว์และปราศจากสิว ไม่ว่าจะเป็นมะขามเปียก ขมิ้น น้ำผึ้ง และมะนาว สามารถมานำมาผสมกันและมาสก์หน้าช่วยกู้ผิวให้ดูใสและลดรอยแผลเป็นจากสิวขึ้นได้ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ

มาสก์หน้าด้วยสมุนไพรธรรมชาติ

2. การสครับผิวหน้า

การสครับผิวหน้าอย่างอ่อนโยนสามารถช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ที่สุขภาพดีขึ้นมาทดแทน เพื่อเผยผิวใหม่ที่ดูกระจ่างใสและลดรอยแผลเป็นจากสิวได้ อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดรูขุมขนที่อุดตันและแบคทีเรียที่ตกค้างอยู่ใต้ผิวให้หลุดออกอีกด้วย

3. ครีมรักษารอยสิว

การเลือกใช้ครีมรักษารอยแผลเป็นจากสิวโดยเฉพาะจะสามารถช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวจางลงได้ ซึ่งควรเลือกครีมบำรุงที่มีสารไวท์เทนนิ่ง หรือส่วนผสมที่ช่วยรักษารอยสิวและรักษารอยแดงจากสิวโดยตรง อย่างวิตามินซี (Vitamin C), อาร์บูติน (Arbutin) และไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) แต่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนังแล้วว่าไม่ทำให้เกิดสิว ผิวบอบบางแพ้ง่ายหรือผิวเป็นสิวสามารถใช้ได้ เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้และเกิดสิวซ้ำ จนส่งผลให้เกิดรอยดำรอยแดงจากสิวเพิ่มขึ้นได้ อย่าง NIVEA Derma Acne Care Skin Clear & Protect Serum (นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ เคลียร์ แอนด์ โพรเทค เซรั่ม) ที่ผสานไฮยาลูรอน โปร-วิตามินบี 5 และไนอาซินาไมด์ ช่วยลดโอกาสเกิดสิว ลดเลือนรอยสิว เติมความชุ่มชื้น และฟื้นบำรุงเกราะปกป้องผิว ใช้เป็นประจำทุกวันหลังทำความสะอาดผิวและก่อนการทาครีมบำรุงผิว

นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ เคลียร์ แอนด์ โพรเทค เซรั่ม

4. การทำทรีทเม้นท์หน้า

การทำทรีทเม้นท์หน้าเป็นตัวช่วยหนึ่งที่นิยมเพื่อเสริมสร้างให้ผิวของเราแข็งแรง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบนผิวหน้า ช่วยกระชับผิวให้ผิวชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวกระจ่างใส นอกจากนี้ยังช่วยให้รอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิวหายไวขึ้น แต่ต้องทำต่อเนื่องเป็นประจำจึงจะเห็นผล

5. การรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้เพื่อรักษารอยสิวหรือรอยแผลเป็นจากสิว ซึ่งเป็นการยิงแสงเลเซอร์เข้าไปบริเวณผิวหนังที่เป็นรอยสิว โดยแสงเลเซอร์จะไปช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และลดรอยแผลเป็นจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การทำเลเซอร์อาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

การรักษาด้วยเลเซอร์

6. การใช้ครีมกันแดด

การใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแสงแดดถือเป็นปัจจัยภายนอกอย่างหนึ่งที่คอยกระตุ้นให้จุดด่างดำและรอยแผลเป็นจากสิวมีสีเข้มขึ้น ดังนั้นควรหมั่นทาครีมกันแดดก่อนออกไปข้างนอกเป็นประจำทุกวัน และควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30+ ขึ้นไป

7. หลีกเลี่ยงการบีบสิว แกะสิว

การบีบสิวหรือแกะสิว เป็นสิ่งที่ทำให้สิวเกิดการอักเสบและทำให้อาการแย่ลงได้ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวด้วย ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการบีบ แงะ หรือแกะสิว ควรปล่อยให้สิวหายเองตามธรรมชาติ

หลีกเลี่ยงการบีบสิว แกะสิว

8. การใช้ยาทาแผลเป็น

การใช้ยาทาแผลเป็นนอกจากจะเป็นวิธีการที่ถูกนำมาใช้รักษาแผลเป็นแล้ว ยังสามารถรักษารอยดำ รอยแผลเป็นจากสิว ลดเลือนหลุมสิว นอกจากนี้ ยาทาแผลเป็นยังช่วยปลอบประโลมผิวไม่ให้ผิวเกิดความระคายเคือง ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย

9. ทานอาหารที่มีประโยชน์

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยเร่งการฟื้นฟูรอยแผลเป็นจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม กีวี พริกหวาน ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดรอยดำ อาหารที่มีวิตามินอีสูง เช่น อัลมอนด์ น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ช่วยต้านอนุมูลอิสระและซ่อมแซมผิว แหล่งของสังกะสีดี เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เมล็ดฟักทอง หอยนางรม ช่วยลดการอักเสบและซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนัง ส่วนโอเมก้า-3 จากปลาแซลมอน ปลาทูน่า วอลนัท ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว ควรเพิ่มอาหารที่มีโปรไบโอติก เช่น โยเกิร์ต กิมจิ และอาหารที่มีแอนตี้ออกซิแดนท์สูง เช่น ชาเขียว บลูเบอร์รี่ ทับทิม ข้าวกล้อง ขณะเดียวกัน ควรลดการบริโภคอาหารน้ำตาลสูง อาหารแปรรูป และอาหารทอด ที่อาจกระตุ้นการอักเสบและชะลอการฟื้นฟูผิว

ทานอาหารที่มีประโยชน์

10. การจัดการความเครียดและการนอนหลับที่เพียงพอ

ความเครียดและการนอนไม่เพียงพอส่งผลโดยตรงต่อการหายของรอยแผลเป็นจากสิว เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ทำให้การอักเสบเพิ่มขึ้นและชะลอกระบวนการซ่อมแซมผิว ส่วนการนอนหลับไม่เพียงพอจะลดประสิทธิภาพของกระบวนการฟื้นฟูผิวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน โดยเฉพาะการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่จำเป็นต่อการลดรอยแผลเป็นจากสิว ควรนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน และหาวิธีจัดการความเครียดที่เหมาะกับตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย การดูแลสุขภาพจิตใจควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะช่วยเร่งการฟื้นฟูรอยแผลเป็นจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

11. เลี่ยงรอยแผลเป็นจากสิว ด้วยการไม่เกิดสิวใหม่

รอยแผลเป็นจากสิวมักเกิดจากปัญหาสิว ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องตัดวงจรการเกิดสิวใหม่และฟื้นฟูรอยแผลเป็นจากสิวที่มีอยู่ ด้วย นีเวีย เดอร์มา แอคเน่ แคร์ ที่เป็นเหมือนระบบปิดสวิทช์วงจรสิวด้วย 4 ขั้นตอนที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนตัดวงจรสิวในตอนเช้า

เริ่มจากการทำความสะอาดล้ำลึกด้วยไมเซล่าที่ดูดซับสิ่งสกปรกเหมือนแม่เหล็ก ตามด้วยโฟมล้างหน้าเจลที่เปลี่ยนเป็นโฟมเมื่อสัมผัสน้ำ ช่วยลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิวซ้ำ จากนั้นใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของสารลดการอักเสบและช่วยฟื้นฟูเกราะปกป้องผิว และทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป

ขั้นตอนตัดวงจรสิวในตอนเช้า

ขั้นตอนตัดวงจรสิวในตอนกลางคืน

ทำความสะอาดเครื่องสำอางด้วยไมเซล่าที่ดูดซับสิ่งสกปรกเหมือนแม่เหล็ก ตามด้วยโฟมล้างหน้าเจลที่เปลี่ยนเป็นโฟมเมื่อสัมผัสน้ำ ช่วยลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิวซ้ำ จากนั้นใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของสารลดการอักเสบและช่วยฟื้นฟูเกราะปกป้องผิว ปิดท้ายด้วยโอเวอร์ไนท์มาส์กที่ทำงานระหว่างคุณหลับ ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยดำรอยแดงจากสิว ใช้อย่างต่อเนื่อง 7 วันจะช่วยให้ผิวบูสต์ความใส และลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวใหม่

ขั้นตอนตัดวงจรสิวในตอนกลางคืน

12. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในกรณีที่รอยแผลเป็นจากสิวรุนแรงขึ้น หรือรักษาด้วยตัวเองมาเป็นเวลานานแล้วไม่หาย ไม่ว่าจะเป็นการเจาะใต้ผิวหนัง หรือการปลูกถ่ายผิวหนัง เพื่อรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ฝังลึกหรือฝังแน่น ขั้นตอนเหล่านี้ควรดำเนินการโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น

การรักษารอยแผลเป็นจากสิวเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และความอดทนในการดูแลรักษา เพราะฉะนั้นควรดูแลรักษาผิวหน้าให้ดี เพื่อป้องกันการเกิดสิวที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต และควรทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะก่อให้เกิดสิว อีกทั้งการรักษารอยแผลเป็นจากสิวยังสามารถทำพร้อม ๆ กับการรักษาสิวไปได้อีกด้วย แค่นี้ผิวหน้าของเราก็สามารถกลับมาเนียนใสอีกครั้ง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหารอยแผลเป็นจากสิว

1. Q: รอยแผลเป็นจากสิวสามารถหายได้เองหรือไม่ และต้องใช้เวลานานแค่ไหน?

A: รอยแผลเป็นจากสิวบางประเภทสามารถหายหรือจางลงได้เองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะรอยแดงจากสิว (PIE) ที่มักใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนในการจางหาย แต่บางรายอาจใช้เวลานานกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ส่วนรอยดำจากสิว (PIH) โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือนในการจางลง แต่หากนานกว่านั้น อาจจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์หรือการรักษาเฉพาะทางเพื่อเร่งให้รอยจางลง สำหรับรอยหลุมสิวและรอยแผลเป็นนูน มักไม่หายสมบูรณ์ด้วยตัวเองและจำเป็นต้องอาศัยการรักษาเฉพาะทาง เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ หรือหัตถการอื่นๆ เพื่อให้รอยแผลเป็นดูเรียบเนียนขึ้น ดังนั้น การดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวจางลงอย่างมีประสิทธิภาพ

2. Q: รอยแผลเป็นจากสิวประเภทไหนรักษายากที่สุด และควรใช้วิธีใดจึงจะได้ผล

A: รอยแผลเป็นจากสิวประเภทหลุมสิว (Atrophic scars) เป็นประเภทที่รักษายากที่สุด โดยเฉพาะ Ice pick scars ที่มีลักษณะเป็นหลุมลึกแคบคล้ายรูเข็ม เนื่องจากเกิดจากการสูญเสียเนื้อเยื่อและคอลลาเจนใต้ผิวหนังอย่างมาก การรักษาให้ได้ผลดีควรใช้การผสมผสานหลายวิธี เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเพิ่มการสร้างคอลลาเจนร่วมกับการทำหัตถการโดยแพทย์ผิวหนัง เช่น เลเซอร์ Fractional CO2, Microneedling, TCA Cross หรือการฉีดฟิลเลอร์ การป้องกันไม่ให้เกิดรอยหลุมสิวตั้งแต่แรกโดยการดูแลสิวอย่างถูกวิธี ไม่แกะหรือบีบ เป็นวิธีที่ดีที่สุด

3. Q: รอยแผลเป็นจากสิวจะกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่หลังการรักษา?

A: รอยแผลเป็นจากสิวสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หากไม่ได้ดูแลผิวอย่างต่อเนื่องและถูกวิธี โดยเฉพาะเมื่อมีสิวอักเสบเกิดขึ้นใหม่และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ปัจจัยสำคัญในการป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวคือการทาครีมกันแดดที่มี SPF30 ขึ้นไปทุกวัน การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน ไม่แกะหรือบีบสิว และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบและรอยดำอย่างสม่ำเสมอ หากรอยแผลเป็นจากสิวเกิดซ้ำ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

เคล็ดลับที่น่าสนใจสำหรับคุณ