1. รอยแดงจากสิว
รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema - PIE) มีลักษณะเป็นจุดสีแดงหรือชมพู ส่วนใหญ่จะเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของผิวหนังที่เกิดจากสิว อาจเกิดจากการอุดตันในรูขุมขน การอุดตันของน้ำมันหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดรอยแดงที่มักจะจางลงเมื่อเวลาผ่านไป
2. รอยดำจากสิว
รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH) จากสิวเกิดขึ้นจากการอักเสบที่ชั้นใต้ผิวหนัง ส่งผลให้มีการผลิตเมลานินส่วนเกินเป็นจำนวนมาก และรอยดำจากสิวจะยิ่งมีสีเข้ม ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการอักเสบ หากยิ่งอักเสบมาก รอยดำจากสิวก็ยิ่งเข้มและหายช้า
3. รอยหลุมสิว
รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) เกิดจากรอยแผลที่เกิดขึ้นบนผิวหนังหลังจากสิวหายไป โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากสิวชนิดที่มีการทำลายเนื้อเยื่อด้านในของผิวหนังหรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดหลุมที่มองเห็นได้บนผิวหนังหลังจากสิวหาย
- Ice Pick Scars (หลุมไอซ์พิก หรือ หลุมจิกลึก): ลักษณะเป็นหลุมแคบๆ ปากหลุมเล็กแต่ลึกเหมือนโดนน้ำแข็งแทงทะลุผิวหนัง มักเกิดจากสิวอักเสบหัวใหญ่ที่ทำลายลึกถึงชั้นหนังแท้ รักษายากที่สุดในกลุ่มหลุมสิว
- Boxcar Scars (หลุมบ็อกซ์คาร์ หรือ หลุมกล่อง): ลักษณะเป็นหลุมกว้าง มีขอบเขตชัดเจน คล้ายกล่องหรือบ่อ อาจตื้นหรือลึกก็ได้ เกิดจากการอักเสบที่ทำลายคอลลาเจนเป็นวงกว้าง
- Rolling Scars (หลุมโรลลิ่ง หรือ หลุมแอ่งคลื่น): ลักษณะเป็นหลุมกว้าง ขอบมน ไม่ชัดเจน ทำให้ผิวดูเป็นลูกคลื่นหรือผิวส้ม เกิดจากพังผืดดึงรั้งผิวหนังชั้นบนให้ยุบตัวลง
4. รอยแผลเป็นนูนจากสิว
เมื่อเกิดสิวอักเสบ มักจะเกิดรอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic Scars and Keloids) โดยผิวหนังมักจะผลิตเนื้อเยื่อขึ้นภายในบาดแผลมากเกินไปในบริเวณที่เกิดสิวอักเสบ โดยจะมีลักษณะเป็นนูน ๆ สูงกว่าผิวหนังรอบบริเวณรอบ ๆ รอยแผลเป็นนี้สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัด อาการบาดเจ็บ แผลไหม้ หรือแม้แต่สิวอักเสบ
- Hypertrophic Scars (รอยแผลเป็นนูน): แผลเป็นจะนูนขึ้นมาจากผิวปกติ แต่ขอบเขตของแผลเป็นจะไม่ขยายเกินจากรอยแผลเดิม อาจมีสีแดงหรือชมพูในช่วงแรก และอาจยุบลงได้เองบ้างตามเวลา
- Keloid Scars (แผลเป็นคีลอยด์): แผลเป็นจะนูน แข็ง และมักมีขนาดใหญ่กว่ารอยแผลเดิมอย่างชัดเจน สามารถขยายตัวออกไปบริเวณผิวหนังปกติรอบๆ ได้ มักมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษาได้ง่ายกว่า