เลือกครีมทาฝ้าแบบไหนดี ? ให้ฝ้าหายจริงป้องกันการเกิดฝ้าใหม่

เลือกครีมทาฝ้าแบบไหนดี ? ให้ฝ้าหายจริงป้องกันการเกิดฝ้าใหม่

ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำที่คอยกวนใจอยู่ทุกวันนั้นทั้งรักษายาก แถมใช้เวลารักษานาน งบที่มีก็ไม่พอสำหรับการไปทำหัตถการหรือเลเซอร์ฝ้าหลาย ๆ ครั้ง ส่วนครีมรักษาฝ้าในท้องตลาดปัจจุบันก็มีให้เลือกซื้อเยอะ จนไม่รู้ว่าต้องเลือกครีมทาฝ้ายี่ห้อไหนดี ครีมทาฝ้าแบบไหนที่ใช้แล้วปลอดภัย ไม่แพ้ วันนี้เราจึงมีวิธีการเลือกครีมทาฝ้าอย่างไรให้ปลอดภัย และสามารถรักษาฝ้าให้หายได้จริงมาฝากในบทความนี้

สารบัญบทความ

  • เลือกครีมทาฝ้าอย่างไรดี ให้ปลอดภัย
  • เแล้วครีมทาฝ้าที่ปลอดภัย ควรมีส่วนผสมอะไรบ้าง?
  • เวิธีรักษาฝ้าให้หายจริง
  • เคำถามที่พบบ่อย

เลือกครีมทาฝ้าอย่างไรดี ให้ปลอดภัย

1. พลิกฉลากดูส่วนผสมก่อนเลือกซื้อ

ก่อนจะเลือกซื้อครีมทาฝ้าควรพลิกดูด้านหลังของฉลากก่อน เพื่อตรวจเช็คส่วนผสมว่ามีอะไรบ้าง ควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมใด

ส่วนผสมที่ควรเลี่ยงในครีมทาฝ้า
ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับเม็ดสีผิวใต้ผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานิน แต่หากใช้เกินปริมาณที่กำหนดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวหนังระคายเคือง เกิดอาการแดง คัน บวม และผิวหนังลอก รวมถึงสามารถเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย

2. เลือกครีมทาฝ้าที่ได้รับการยืนยันจากแพทย์ผิวหนัง


เลือกครีมรักษาฝ้าที่ดีที่สุด NIVEA LUMINOUS630 Intensive Treatment Serum

NIVEA Luminous630 Advanced Dark Spot Serum

เลือกครีมทาฝ้าที่ได้รับการยืนยันจากแพทย์ผิวหนังว่าไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่าง ทรีทเม้นท์เซรั่มเข้มข้น นีเวีย ลูมินัส630 แอดวานซ์ ดาร์ค สปอต เซรั่ม สูตรใหม่! ที่ผสานไทอามิดอล (Thiamidol) สารไบรท์เทนนิ่งที่ทรงพลังที่สุดจากนีเวีย ช่วยลดเลือนฝ้าแดด กระ และจุดด่างดำที่ฝังลึกสะสมนานับ 10 ปี ช่วยลดเลือนฝ้าได้ถึง 82% สามารถจัดการได้ทั้งจุดดำที่มองเห็น และจุดดำที่ฝังลึกอยู่ใต้ชั้นผิวได้ถึงต้นตอ หากไม่รีบจัดการตั้นแต่เนิ่น ๆ อาจกลายเป็นจุดดำฝังลึกบนชั้นผิวได้ โดยครีมทาฝ้านีเวียไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเหมือนครีมลอกฝ้า หรือ ครีมทาฝ้า ตัวอื่น ๆ อีกทั้งยังจัดการปัญหาฝ้าได้ลึกถึงต้นตอ ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส อิ่มฟู นุ่มเด้ง ชุ่มชื้นถึงขีดสุดด้วยไฮยาลูโรนิกเข้มข้นถึง 2 เท่า เห็นผลจริงใน 2 สัปดาห์ เพื่อสิทธิภาพสูงสุดควรใช้เป็นประจำต่อเนื่องเช้า-เย็น

3. ทดสอบอาการแพ้ ผลข้างเคียง

สภาพผิวของคนเรานั้นมีความแตกต่างกัน เช่น ผิวมัน, ผิวผสม, ผิวแห้ง, และผิวบอบบางแพ้ง่าย จึงควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้กับใบหน้าจริง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้รุนแรงและป้องกันการลุกลามหากเกิดอาการแพ้

วิธีทดสอบอาการแพ้ครีมทาฝ้า
นำครีมทาฝ้ามาทาบริเวณหลังใบหู หรือบริเวณท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หากเกิดผื่นคัน หรือแดง ให้รีบล้างออกโดยทันที แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วอย่าง NIVEA Luminous630 ที่อ่อนโยนแม้กับผิวแพ้ง่าย การทดสอบก่อนใช้ก็ยังเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

แล้วครีมทาฝ้าที่ปลอดภัย ควรมีส่วนผสมอะไรบ้าง?

  1. Thiamidol : สารไบรท์เทนนิ่งที่ทรงพลังที่สุดจากนีเวีย ช่วยลดเลือนฝ้าแดด กระแดด และจุดด่างดำที่ฝังลึกสะสมมานับ 10 ปี โดยไม่เกิดผลข้างเคียงเหมือนครีมลอกฝ้า อีกทั้งยังจัดการปัญหาฝ้าได้ลึกถึงต้นตอ ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส ผิวสม่ำเสมอ
  2. Alpha Arbutin : เป็นสารที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทั่วไป ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้บริเวณที่มีสีเข้มอย่างรอยดำจากสิวจางลงได้ และปรับสีผิวให้กระจ่างใสอย่างสม่ำเสมอ
  3. Glycolic Acid : AHA หรือกรดผลไม้ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก พร้อมเผยผิวใหม่ขึ้นมาแทน จึงสามารถช่วยลดปัญหาผิวหมองคล้ำ หรือจุดด่างดำได้ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้น แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่าย
  4. Tretinoin : หรือกลุ่มกรดวิตามินเอ (retinoids) สามารถช่วยเร่งให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนที่มีเม็ดสีเมลานินหลุดลอกออกได้ จึงช่วยให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลงได้ แต่หากใช้ไปสักพักแล้วพบอาการรอยแดงและผิวลอก ควรลดความถี่ในการใช้ลง
  5. Vitamin E : มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของผิว รวมถึงไปลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ผิวที่หมองคล้ำ กระจ่างใสขึ้น

วิธีรักษาฝ้าให้หายจริง

ฝ้า เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในผู้หญิง มักเกิดจากการถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบางชนิด การใช้ยาบางประเภท รวมถึงฮอร์โมนในร่างกาย ฝ้ามีหลายชนิด เช่น ฝ้าแดด ฝ้าฮอร์โมน ฝ้าเลือด ฝ้าลึก ฝ้าตื้น แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ้าชนิดไหน ก็ล้วนทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ดูไม่สดใส และส่งผลต่อความมั่นใจ วันนี้เรามี 7 วิธีรักษาฝ้าให้หายจริงมาฝากกันค่ะ

1. การใช้กรดผลไม้ หรือ AHA (Alpha Hydroxy acid)


การใช้กรดผลไม้ หรือ AHA รักษาฝ้า

วิธีนี้จะช่วยเร่งการผลัดผิวชั้นหนังกำพร้า ทำให้รอยฝ้าตื้นขึ้นและสีจางลง เหมาะกับการรักษาฝ้าชนิดตื้น ถ้าบางคนแพ้ ก็จะเกิดการแสบ แดง ที่ผิวหนังได้ ถ้ามีอาการเหล่านี้ ต้องหยุดใช้ทันที

2. เลี่ยงครีมรักษาฝ้า ที่มีส่วนผสมของ "ไฮโดรควิโนน"


ไฮโดรควิโนน ส่วนผสมที่ไม่ควรมีในครีมรักษาฝ้าที่ดีที่สุด

ควรหลีกเลี่ยงครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของสาร "ไฮโดรควิโนน" เพราะหากใช้ครีมรักษาฝ้าประเภทนี้มากเกินไปอาจส่งผลให้ผิวหนังบริเวณที่ทาเป็นด่างขาวและทำให้เกิดฝ้ามากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) สามารถเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ โชคดีที่บ้านเราประกาศห้ามใช้สารตัวนี้ผสมในเครื่องสำอางอย่างเด็ดขาด

3. เลเซอร์รักษาฝ้า


การใช้เลเซอร์รักษาฝ้า ยิงเข้าไปที่ผิวบริเวณที่เป็นฝ้า

การใช้เลเซอร์ยิงเข้าไปที่ผิวบริเวณที่เป็นฝ้า ทำให้เม็ดสีแตกออกจากกัน ทำให้รอยฝ้าจางลง แต่วิธีนี้อาจยิ่งทำให้ผิวตรงที่เป็นฝ้ามีรอยคล้ำมากยิ่งขึ้นเพราะกระบวนการแตกของเม็ดสีทำให้เกิดการอักเสบที่ชั้นใต้หนังกำพร้า วิธีนี้นอกจากจะไม่หายแล้ว ผิวบริเวณที่เป็นฝ้ายังมีรอยคล้ำมากยิ่งขึ้น แถมกลับมาเป็นฝ้าซ้ำอีก เพราะเลเซอร์ไม่ได้ป้องกันการสร้างเมลานินใหม่

4. การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)


การกรอผิวรักษาฝ้าด้วยเกร็ดอัญมณี Microdermabrasion

เป็นการเร่งการผลัดเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้าให้ลอกหลุดออก เพื่อให้ผิวหนังตื้นและรอยฝ้าจางลง วิธีนี้เหมาะกับฝ้าชนิดตื้น และจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ หลังการกรอผิวอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหน้าสูง จะมีรอยแดงบนใบหน้าอยู่ 2-3 วัน และหลังการรักษาห้ามโดนแดดเด็ดขาด

5. ทำเมโสหน้าใส

การทำเมโสหน้าใสนั้นเปรียบเสมือนการทำทรีตเมนต์ โดยจะเป็นการใช้เข็มขนาดเล็กจิ้มลงไปให้ผ่านผิวหนังชั้นกลาง ดังนั้นอาจจะมีข้อเสียตรงที่เจ็บพอสมควร และอาจทำให้มีแผลบนใบหน้าสักระยะหนึ่งได้ ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้เข็มจิ้มนั่นก็เพราะว่าเป็นการนำวิตามินหรือสารบำรุงผิวไปยังผิวด้านใน ส่งผลให้คอลลาเจนบนใบหน้าเพิ่มขึ้นผิวกระจ่างใสและเต่งตึง

6. รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ


รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น หัวไชเท้า หรือว่านหางจระเข้ เป็นต้น สำหรับว่านหางจระเข้ให้นำใบไปแช่น้ำ 10 นาที ล้างน้ำให้สะอาด แล้วจึงนำไปปั่น ทาทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ส่วนหัวไช้เท้าก็ให้นำมาล้างให้สะอาดเช่นกัน แล้วจึงบดผสมน้ำผึ้ง และทาทิ้งไว้ 15-20 นาที วิธีเหล่านี้จะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างดี แต่แนะนำว่าควรทำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถใช้วัตถุดิบง่ายๆ ที่หาได้ในครัวอย่าง มะนาว ได้อีกด้วย สำหรับสูตรรักษาฝ้าด้วยมะนาวสามารถดูสูตรเพิ่มเติมได้ที่ เปิด 5 สูตรรักษาฝ้าด้วยสมุนไพรไทย ผิวใสไกลฝ้าด้วยมะนาว

7. ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน


แสงแดดต้นตอของการเกิดฝ้า ทาครีมกันแดดทุกวัน

ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดที่เป็นต้นตอของการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งรังสี UV จะมีความเข้มข้นสูงสุด ในช่วง 10.00-14.00 น. จึงควรเลี่ยงการโดนแดดตรง ๆ ในช่วงนี้ ซึ่งวิธีป้องกันและรักษาฝ้าที่ดีที่สุด คือ ควรใช้ครีมกันแดดเป็นประจำโดยเฉพาะกันแดดคนเป็นฝ้า เพราะรังสี UV คือตัวการที่ไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดสีหรือเมลานินโดยตรง ซึ่งในผิวคนเรา จะมีเมลาโนไซต์ ที่ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีในชั้นผิวหนังของเรา และเม็ดสีจะเข้มขึ้นโดยการกระตุ้นของเอนไซน์ไทโรซิเนส เมื่อเอนไซน์ไทโรซิเนสถูกกระตุ้นจากรังสี UV มากๆ เข้า ก็ยิ่งทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นสีคล้ำกว่าปกติ จนเป็น "ฝ้า"


การใช้ครีมกันแดด ที่มีส่วนผสมของสารไทอามิดอล (Thiamidol) จะช่วยยับยั้งเอนไซน์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการเกิด "ฝ้า" ได้ ก็สามารถหยุดยั้งการเกิดของ "ฝ้า" ได้ที่ต้นตอเลยทีเดียว แต่..ไม่ใช่ครีมกันแดดทุกตัวจะมีส่วนผสมของไทอามิดอล (Thiamidol) มีเพียง นีเวีย ลูมินัส630 สปอตเคลียร์ ซันโพรเทค เอสพีเอฟ 50 PA+++ (NIVEA LUMINOUS630 SUN PROTECT SPF50 PA+++) ซึ่งความพิเศษของครีมกันแดดแก้ฝ้านีเวีย คือ เป็นครีมกันแดดสูตรเฉพาะสำหรับคนมีปัญหาฝ้าแดด จุดด่างดำโดยเฉพาะ มีสารลูมินัส630 (LUMINOUS630) ที่มีสารไทอามิดอล (Thiamidol) อนุพันธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด และเสถียรที่สุดที่ช่วยยับยั้งเอนไซน์ไทโรซิเนส อันเป็นจุดกำเนิดของการเกิดฝ้าได้จริง ๆ แถมยังปกป้องผิวหน้าของเราจากรังสี UVA และ UVB ด้วยประสิทธิภาพสูงสุด SPF50 และ PA+++ สามารถป้องกันการเกิดฝ้าแดด และจุดด่างดำได้จริง เมื่อใช้ติดต่อกันทุกวัน และไม่ต้องเสียเงินเลเซอร์อีกด้วย ที่สำคัญไม่มีผลข้างเคียง เพราะพิสูจน์แล้วจากแพทย์ผิวหนังและผู้ใช้จริงในประเทศไทยถึง 200 คน รู้แบบนี้แล้วคงต้องหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ของนีเวีย ทิ้งครีมรักษาฝ้าที่มีสารอันตรายไปได้เลย

การเลือกครีมทาฝ้าที่ใช่ไม่ได้หมายถึงแค่การหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเลือนฝ้าเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระยะยาว นวัตกรรมล่าสุดอย่าง นีเวีย ลูมินัส630 แอดวานซ์ ดาร์ค สปอต เซรั่ม (NIVEA Luminous630 Advanced Dark Spot Serum) ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การรักษาฝ้าที่ได้ผลไม่จำเป็นต้องพึ่งสารอันตราย ด้วยสารไทอามิดอล (Thiamidol) ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินตั้งแต่ต้นเหตุ ทำให้สามารถลดเลือนฝ้าที่สะสมมานานถึง 10 ปีได้อย่างเห็นผล โดยไม่ทำร้ายผิว

เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกครีมทาฝ้าให้เหมาะกับสภาพผิวหน้าของตนเองควรสังเกตดูส่วนผสมและสารเคมีอันตรายที่ผสมอยู่ในครีมทาฝ้า และอย่าลืมหมั่นทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเพราะแดดเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน

คำถามที่พบบ่อย

  1. Q: นอกจากใช้ครีมทาฝ้า มีวิธีไหนบ้างช่วยลดฝ้าได้บ้าง
    A: นอกจากการใช้ครีมทาฝ้า มีวิธีอื่น ๆ ที่สามารถช่วยลดฝ้าได้ ได้แก่ การใช้กรดผลไม้ (AHA) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว การทำเลเซอร์รักษาฝ้าโดยแพทย์ผิวหนัง การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) การทำเมโสหน้าใส การใช้วิธีธรรมชาติเช่นทาว่านหางจระเข้หรือหัวไชเท้า และที่สำคัญที่สุดคือการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้ควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผิวหนังเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
  2. Q: อาหารอะไรบ้างที่ช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้
    A: อาหารที่ช่วยป้องกันการเกิดฝ้า ได้แก่ ส้ม (อุดมด้วยวิตามินซีและ วิตามินพี), ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ (มีสารแอนโธไซยานิน), มะเขือเทศ (มีไลโคปีน), ปลาแซลมอน (มีแอสตาแซนธิน), กาแฟ (มีกรดคลอโรจีนิก), ชาเขียว (มีคาเทชินและโพลีฟีนอล), แอปเปิ้ล (มีโพลีฟีนอลโดยเฉพาะที่เปลือก), และเนื้อแดง (มีธาตุเหล็กประกอบฮีม) อาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดฝ้า ลดริ้วรอย และปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด
    อ้างอิง : https://www.sanook.com/women/156053/
  3. Q: เลือกครีมทาฝ้าแบบไหนดี
    A: ในการเลือกครีมทาฝ้าที่ดี ควรพิจารณาจากส่วนผสมที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เช่น สารไทอามิดอล (Thiamidol) ที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากแพทย์ผิวหนัง และทดสอบการแพ้ก่อนใช้จริง นอกจากนี้ ควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ และควรใช้อย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  4. Q: ควรหลีกเลี่ยงครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของอะไร
    A: ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เนื่องจากสารนี้อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผิว เช่น ทำให้ผิวเป็นด่างขาว เกิดฝ้ามากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง
  5. Q: ควรทดสอบครีมทาฝ้าอย่างไรก่อนใช้จริง?
    A: ก่อนใช้ครีมทาฝ้าจริง ควรทดสอบอาการแพ้โดยทาครีมบริเวณหลังใบหูหรือท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หากเกิดผื่นคันหรือผิวแดง ให้รีบล้างออกทันที การทดสอบนี้ช่วยป้องกันการเกิดอาการแพ้รุนแรงบนใบหน้า และช่วยให้มั่นใจว่าครีมนั้นเหมาะสมกับผิวของคุณ

ทิปส์ที่น่าสนใจสำหรับคุณ